วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

โทษของการกินไข่ดิบ





ถ้าจะพูดถึงไข่แล้ว คงจะไม่ต้องบอกหรอกว่ามีประโยชน์มากขนาดไหน เพราะทุกคนคงจะทราบดีอยู่แล้ว

นอกจากสารอาหารสารพัดชนิดแล้ว จากการวิเคราะห์แล้วในไข่ไก่หนึ่งฟองนั้น จะมีโปรตีนและไขมันที่ให้ความร้อนแก่ร่างกายได้ประมาณ 70-90 แคลอรี นั่นก็จะหมายความว่า “ ถ้าท่านกินไข่ 1 ฟอง เท่ากับท่านดื่มนม 30 ซีซี หรือเท่ากับท่านกินเนื้อสัตว์ 42 กรัม ” แต่การที่ท่านจะได้ประโยชน์ดังกล่าว ท่านจะต้องทำให้สุกเสียก่อนเพราะถ้าเป็นได้ดิบละก็นอกจากจะไม่ได้คุณค่าทางอาหารแล้ว มันยังให้โทษหลายอย่างอีกด้วย เพราะไข่ดิบมีความลื่นสูงมาก จึงมีผลทำให้มันผ่านลำไล้เล็กไปอย่างเร็วจนลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมได้ทัน และเมือกของไข่ขาวยังไปขัดขว้างการทำงานของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารอีกด้วย นอกจากนี้ไข่ดิบ ยังมีสารอะวิดินซึ่งหากบริโภคกันไปนานๆจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ผิวหนังอักเสบ และยังอาจมีเชื้อซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาท ถ้ามีอาการเรื้อรังอาจทำให้เป็นตับอักเสบ เยื่อบุสมองอักเสบอีกด้วย ซึ่งนับเป็นโรคที่น่ากลัวทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ก่อนกินไข่แดงควรทำให้สุกทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นไข่ไก่ก็ลวกเพียงไข่ขาวสุก ก็จะไม่เกิดโทษ
อาหารรสเค็ม
โซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด- ด่างของเลือด เป็นต้น แม้ว่าร่างกายจะผลิตเกลือเพียงน้อยนิด แต่เราก็ไม่เคยขาดเกลือ เพราะร่างกายมีระบบที่สามารถเก็บเกลือไว้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังปรับตัวต่อปริมาณเกลือที่ลดลงได้ อีกทั้ง เกลือ ยังมีอยู่ในผัก ผลไม้ เครื่องปรุงรสต่างๆ อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยว อีกด้วย
การกินเค็มแต่พอดีจะช่วยขับร้อน แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน บำบัดอาการท้องเฟ้อ ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน ทำความสะอาดแผล ช่วยเรื่องอาการขัดเบาของร่างกาย เป็นต้น แหล่งที่มาของรสเค็ม โดยมากมาจาก เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ซอส และสาหร่ายทะเลบางชนิด องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณการรับเกลือสูงสุดของร่างกายไว้ที่วันละประมาณ 6,000 มิลลิกรัม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันคนไทยกินเกลือกันโดยเฉลี่ยถึงวันละ 7,000 มิลลิกรัม (เกือบ 2 ช้อนชาต่อวัน) เลยทีเดียว กินเค็มกันมากขนาดนี้ เรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีโรคอะไรตามมาบ้าง
ร้อนใน กระหายน้ำ การกินเค็มจัดจะทำให้ระบบการดูดซึมอาหารในร่างกายทำงานหนัก ร่างกายที่ได้รับโซเดียมสูงกว่าปกติจะพยายามจะขับเกลือทิ้งออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ จึงทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ร้อนใน รู้สึกแสบคอ ยิ่งกินเค็มมากๆอาจทำให้อาเจียน ท้องเดิน หรือเกิดอาการบวมน้ำได้
ภาวะขาดน้ำ สำหรับเด็กและทารกซึ่งไตยังไม่สามารถขับถ่ายโซเดียมส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่ การกินอาหารรสเค็มมากเกินไปอาจยิ่งเพิ่มภาวะเสี่ยงต่อการมีโซเดียมสะสมในร่างกาย และอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) อย่างรุนแรงได้
ความดันโลหิตสูง แพทย์และนักโภชนาการเชื่อว่ารสเค็มจะทำให้ร่างกายมีการเก็บกักน้ำเพื่อการสร้างความสมดุล จึงทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้า การคั่งของโซเดียมในร่างกายจึงทำให้ความดันโลหิตสูง ตามมา
นอกจากนั้น การกินอาหารรสเค็มยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกับไตที่ต้องรีบขับโซเดียมออกทางปัสสาวะอย่างรวดเร็ว คนกินเค็มจึงเสียงต่อการเป็นโรคหัวใจ และภาวะไตวายมากกว่าคนกินอาหารรสชาติปกติ
ความเค็มอาจมีประโยชน์มากในการถนอมอาหาร แต่คงไม่ดีนักถ้าจะปล่อยให้มันไปทำให้กระบวนการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกายของเราแปรปรวน กินเค็มแต่พอดี ดีกว่านะครับ
อาหารรสหวาน
เมื่อพูดถึงที่มาของความหวาน น้ำตาลมักเป็นอันดับต้นๆที่เรานึกถึง ทั้งนี้น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานต่อร่างกายในทันทีที่กินเข้าไป ซึ่งส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยฮอร์โมนชื่ออินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีหน้าที่ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และมีฮอร์โมนชื่อกลูคากอน(Glucagons) คอยทำหน้าที่เพิ่มระดับกลูโคส ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ อาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้
นอกจากนั้นรสหวานช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาอาการปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายรู้สึกชุ่มชื่น และแก้กระหาย โดยมากรสหวานที่เรารับประทานจะได้จาก น้ำตาล น้ำผึ้ง ผักและผลไม้สุกบางชนิด เช่น กล้วย ลิ้นจี่ อ้อย มะละกอ มะม่วง เป็นต้น จากข้อมูลพบว่า ในแต่ละปีคนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยต่อปีถึงคนละ 25 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว เพราะเรานิยมกินหวานกันขนาดนี้ จึงทำให้โรคร้ายมากมายถามหา ...เรามาดูกันดีกว่าครับว่าอันตรายที่มากับรสหวานมีอะไรกันบ้าง
หวานมากไปทำให้อ้วน ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน หรืออาหารรสหวานจัดต่างๆ เมื่อกินเข้าไปมากๆอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปและทำให้อ้วน
อาหารหวานทำให้ความอยากอาหารลดลง การกินอาหารรสหวานมากเกินไปจะทำให้เรารู้สึกอิ่ม (สังเกตได้จากเวลากินน้ำหวาน หรือขนมหวาน เราจะไม่รู้สึกหิวข้าว) อีกทั้งยังทำให้รู้สึกขี้เกียจ ง่วงนอน มีเสมหะในลำคออีกด้วย ทั้งนี้น้ำตาลและความหวานยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไฮโดไกลซีเมียอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารรสหวานก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ร่างกายกินได้น้อยลง
เบาหวาน อาหารรสหวานนับว่าเป็นอันตรายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปมากๆจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขาดความสมดุล จึงทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากกว่าปกติเพื่อกำจัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ยิ่งคนเป็นเบาหวานกินหวานมากเท่าไรก็จะยิ่งให้ตับอ่อนทำงานหนัก และเป็นอันตรายมากเท่านั้น อีกทั้งความหวานยังทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และ ฟันผุ อีกด้วย
แม้ความหวานจะมีประโยชน์ แต่หากบริโภคเกินควรก็มีอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ปรุงอาหารครั้งต่อไปลดน้ำตาลลงบ้างดีกว่านะครับ
อาหารรสเผ็ด
แหล่งที่มาของอาหารรสเผ็ดร้อนมักจะอยู่ในผักและสมุนไพรกลุ่มเครื่องเทศ เช่น กานพลู ยี่หร่า กระเทียม หัวหอม และที่ขาดไม่ได้คือ พริก ความเผ็ดของรสชาติอาหารช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้ใหญ่ให้เป็นไปตามปกติ ความเผ็ดร้อนช่วยให้เรารับประทานอาหารได้มากกว่าปกติ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายไปในตัว นอกจากนั้นอาหารรสเผ็ดยังช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้อาการจุก เสียด แน่น เฟ้อ ช่วยในการขับเสมหะ ทำให้จมูกโล่งเวลาเป็นหวัด ช่วยลดความดันและไขมันในโลหิตได้อีกด้วย กระนั้นอาหารรสเผ็ดหากบริโภคมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน โรคที่แฝงมากับการกินอาหารรสเผ็ดมีดังต่อไปนี้คือ
กรดในกระเพาะอาหาร การกินอาหารเผ็ดทำให้เกิดกรดในกระเพราะอาหาร คนกินเผ็ดจึงมักมีอาการท้องขึ้นและอึดอัด รู้สึกแสบและคันรูทวารหนัก และมีอาการอ่อนเพลียอยู่เสมอ
สิว คนที่เป็นสิวหรือมีอาการอักเสบของต่อมไขมัน ไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดโดยเด็ดขาด เพราะความเผ็ดจะทำให้ต่อมไขมันทั่วร่างกายทำงานหนักกว่าปกติ จึงทำให้เกิดสิวได้ง่าย
อาจทำให้อ้วน เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารรสเผ็ด ทำให้เรามีความอยากกินอาหารมากขึ้น ยิ่งกินเยอะก็จะยิ่งทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา ดังนั้นใครที่ไม่อยากอ้วนควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด
โรคไต นอกจากพริกแล้ว อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ กะปิ ผงชูรสซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณมาก การกินอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องแกงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต ความดันโลหิตสูง ไปด้วย
โรคหัวใจ อาหารที่มีรสเผ็ดมีฤทธิ์การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนัก คนชอบกินอาหารรสเผ็ดจึงเป็นการเพิ่มความเสียงต่อโรคหัวใจโดยไม่รู้ตัว
รู้โทษของอาหารรสเผ็ดกันแล้ว ลองสำรวจตัวเองกันหน่อยไหมครับว่า คุณใส่พริกลงไปในอาหารมากแค่ไหนในแต่ละมื้อ
: โทษของการนอนดึก
ข้อความ : > การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
> > การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload
>ไม่ช้าเครื่องก็พัง
> > วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)
> > ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน
> > ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
> > 1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
> > 2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
> >
> > ระบบการย่อยอาหาร
> > ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป
> > ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง
> > แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่
> > เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
> >
> > แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก
> > ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป
> > พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้
> > มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา
>(ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)
> > ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
> > 1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
> > 2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า
> > กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด
> > ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ
> > ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม)
> > จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว
> > ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้
>ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก
> > ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ
>สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง
> > เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง
>ให้ท้องเกิดกำลังจะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว
> > ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน
>ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย
> > จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย
>(เนื่องจากอายุมาก)
> > ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ
>ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ
> > บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา
> >
> > ระบบปัสสาวะ
> > ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ
> > แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย
>overload ต้องการน้ำมาก
> > กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก
>ผลก็คือปัสสาวะบ่อย
> > ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ
>35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
> > แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ
>ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก
> > คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด
>และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย)
> > ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
> >
> > สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก
>และเติมเกลือในน้ำด้วย
> > คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ
>ยังออกทางเหงื่อได้
> > แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน
> > พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย
>ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ
> > หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย
>อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ
> > ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย
>ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น
> > พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ
>จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
> > ระบบเหงื่อ
> > คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย
> > ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด
>ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้
> > โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย
>เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้

> > คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น
>มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก
> > ระบบหายใจ
> > ระบบหายใจจะเสียตามมา
>ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น
>
แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)


การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
ประโยชน์ของกล้วย

เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...

ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ

เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า

นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น

นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่

นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า

นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ

ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น

ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"

ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"

ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"

ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก

ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค

ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น

ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย

ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง

กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล

เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น

ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก

ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ
ภัยนํ้าอัดลม

ซื้อน้ำอัดลมในสถานศึกษามากกว่า รร.ปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า กทม.จัดโครงการ “โรงเรียนอ่อนหวาน” รณรงค์ห้ามจำหน่ายในโรงเรียน

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่โรงเรียนวิชูทิศ ดินแดง กท. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน "แต้มสีสันโรงเรียนอ่อนหวาน 7 วัน 7 สี ไม่มีน้ำอัดลม" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี โฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมในเด็กและเยาวชนกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุข

เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า น้ำอัดลมเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด อาทิ โรคอ้วน โรคผอม โรคฟันผุ และกระดูกกร่อน ล่าสุดรายงานจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่า เด็กที่มีอาการฟันผุ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีในสมองได้

"เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แพทย์ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ พบว่า อาการฝีในสมองของเด็กรายหนึ่ง เกิดจากปัญหาฟันซี่บนผุ ซึ่งเชื่อมต่อฐานของสมอง เมื่อฟันผุมากๆ เชื้อโรคก็แทรกซึมเข้าสู่สมองจนทำให้เกิดฝีในสมองได้ เมื่อย้อนกลับมามองสาเหตุของฟันผุ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งเป็นแหล่งของความหวานชั้นยอด" นพ.สุริยเดว กล่าว

นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า ปกติน้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลประมาณ 10-14 ช้อนชา ทุกกระป๋องจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 1-2 จากการศึกษาปัญหาเด็กอ้วนพบว่า ส่วนใหญ่ดื่มน้ำอัดลม 25 กระป๋องต่อสัปดาห์ ขณะที่ตามหลักโภชนาการแล้ว ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดภาวะพร่องแคลเซียม เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเป็นโรคกระดูกคดงอและโรคกระดูกพรุนได้ ส่วนกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการที่ออกมาโฆษณาว่า น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลหรือน้ำตาล 0 เปอร์เซ็นต์ ต้องระวังเป็นพิเศษ

เนื่องจากในระยะยาวจะทำให้เป็นโรคผอมเพราะขาดสารอาหารเพราะเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีสารอาหารใดๆ มีแต่แก๊ส ทำให้ท้องอืด ไม่อยากอาหาร คนอ้วนที่ต้องการลดความอ้วนจะหันมาดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้จะทำให้ลดความอ้วนได้

ขณะเดียวกันยังส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่เพราะน้ำอัดลมมีกรดคาร์บอนิกที่มีคุณสมบัติขับแคลเซียมออกจากร่างกาย โดยเฉพาะวัยรุ่น 9-14 ปี ที่ต้องการแคลเซียมเพื่อสร้างความเติบโตมากที่สุด หากดื่มน้ำอัดลมมากจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมจนหมดส่งผลให้ร่างกายสูงไม่เต็มที่และ "อ้วนเตี้ย"

"การดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก สุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค เพราะเด็กที่เข้ารักษาตัวเพราะน้ำหนักตัวเกิน จะหายใจไม่ออก นอนไม่ได้มากกว่าเด็กปกติ 2-3 เท่า ทำให้ต้องรักษาตัวนาน ดังนั้นโรงเรียนต่างๆจึงควรหันมาใส่ใจปัญหานี้และทำให้ร้านค้าภายในและรอบโรงเรียนปลอดการขายน้ำอัดลม แต่ควรหันมาดื่มน้ำเปล่า เพราะเป็นน้ำสะอาดและดีที่สุด หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้แต่ไม่ควรมีน้ำตาลเกินร้อยละ 5 ต่อ 100 ซีซี" นพ.สุริยเดว กล่าว

ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ. สำนักงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจากโรคอ้วน 300 ล้านคน และอีกประมาณ 1,000 ล้านคน ที่กำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการไม่ออกกำลังกาย ขณะที่การบริโภคยังนิยมของแคลอรีสูง และของหวานต่างๆ ประเทศไทยก็เช่นกันจากการศึกษาพบว่า หากดื่มน้ำอัดลมติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัม

ด้าน ผศ.ทพญ.ปิยะนารถ จาติเกตุ นักวิชาการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ล่าสุดได้ทำการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มของนักเรียน จากกลุ่มตัวอย่าง 9,300 คน ในโรงเรียน 14 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นนักเรียน 8,400 คน ผู้ปกครอง 700 คน ครู 273 คน พบว่า นักเรียนในโรงเรียนที่ขายน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมบ่อยกว่านักเรียนที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะดื่มมากกว่าประถมศึกษา 3.9 เท่า และหญิงดื่มบ่อยกว่าชายถึง 1.4 เท่า ปัจจัยสำคัญของการดื่มน้ำอัดลม

ส่วนหนึ่งเกิดจากการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่ คือ สหกรณ์หรือร้านค้าโรงเรียนร้อยละ 44 ส่วนโรงเรียนที่มีน้ำอัดลมที่มีทั้งแม่ค้าและสหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียนพบถึงร้อยละ 47.2 นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่า โรงเรียนที่ปลอดและไม่ปลอด น้ำอัดลมได้รับเงินสนับสนุนจากผู้จำหน่ายเครื่องดื่มทั้งสิ้น โรงเรียนที่ไม่ปลอดน้ำอัดลมได้ถึงร้อยละ 81.3 ขณะที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้เพียงร้อยละ 59.3

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ได้จัดโครงการโรงเรียนอ่อนหวาน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเข้าใจโทษของการบริโภคของหวาน โดยกทม.เริ่มมีนโยบายห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียนในสังกัด 436 แห่งมา 3 ปี มีนักเรียน 340,000 คน เชื่อว่าจะทำให้เด็กๆ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากน้ำอัดลมได้

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ทดสอบการส่งงาน ครั้งที่ 1

ทดสอบการส่งงาน ครั้ง ที่ 1 ที่นี่

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากไปษณีย์อิเล็กทรอนิกส์

1. สามารถใช้ได้กับ บล็อก hi5 หรือ อีเมล์ต่าง ๆ ที่เราทำงานอยู่ก็ได้
และทำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็ได้โดยการใช้เป็นงานที่ครุให้ทำส่ง
2. สามารถสรหหตกแต่งเว็บไซต์ให้สวยงาม ด้วยการใช้ภาพและลูกเล่นของเอฟเฟค
3. สามารถรับข่าวและข้อมูลต่างๆได้

ทดสอบแบบสอบถามครั้งที่ 1 ที่นี่