วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

อาหารรสหวาน
เมื่อพูดถึงที่มาของความหวาน น้ำตาลมักเป็นอันดับต้นๆที่เรานึกถึง ทั้งนี้น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานต่อร่างกายในทันทีที่กินเข้าไป ซึ่งส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยฮอร์โมนชื่ออินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีหน้าที่ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และมีฮอร์โมนชื่อกลูคากอน(Glucagons) คอยทำหน้าที่เพิ่มระดับกลูโคส ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ อาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้
นอกจากนั้นรสหวานช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาอาการปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายรู้สึกชุ่มชื่น และแก้กระหาย โดยมากรสหวานที่เรารับประทานจะได้จาก น้ำตาล น้ำผึ้ง ผักและผลไม้สุกบางชนิด เช่น กล้วย ลิ้นจี่ อ้อย มะละกอ มะม่วง เป็นต้น จากข้อมูลพบว่า ในแต่ละปีคนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยต่อปีถึงคนละ 25 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว เพราะเรานิยมกินหวานกันขนาดนี้ จึงทำให้โรคร้ายมากมายถามหา ...เรามาดูกันดีกว่าครับว่าอันตรายที่มากับรสหวานมีอะไรกันบ้าง
หวานมากไปทำให้อ้วน ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน หรืออาหารรสหวานจัดต่างๆ เมื่อกินเข้าไปมากๆอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปและทำให้อ้วน
อาหารหวานทำให้ความอยากอาหารลดลง การกินอาหารรสหวานมากเกินไปจะทำให้เรารู้สึกอิ่ม (สังเกตได้จากเวลากินน้ำหวาน หรือขนมหวาน เราจะไม่รู้สึกหิวข้าว) อีกทั้งยังทำให้รู้สึกขี้เกียจ ง่วงนอน มีเสมหะในลำคออีกด้วย ทั้งนี้น้ำตาลและความหวานยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไฮโดไกลซีเมียอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารรสหวานก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ร่างกายกินได้น้อยลง
เบาหวาน อาหารรสหวานนับว่าเป็นอันตรายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปมากๆจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขาดความสมดุล จึงทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากกว่าปกติเพื่อกำจัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ยิ่งคนเป็นเบาหวานกินหวานมากเท่าไรก็จะยิ่งให้ตับอ่อนทำงานหนัก และเป็นอันตรายมากเท่านั้น อีกทั้งความหวานยังทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และ ฟันผุ อีกด้วย
แม้ความหวานจะมีประโยชน์ แต่หากบริโภคเกินควรก็มีอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ปรุงอาหารครั้งต่อไปลดน้ำตาลลงบ้างดีกว่านะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น