วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
DO YOU lOVE SOMEONE THISMUCH? รัก ใครได้ขนาดนี้หรือเปล่า ?? A girl and guy were speeding over 100 kmph on the road on a motorcycle... ชายหญิงคู่ หนึ่งเร่งมอ`ไซค์กว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Girl: Slow down. Im scared. ช้าๆหน่อยสิ เค้ากลัวนะ Guy: No this is fun. ไม่เอาอ่ะ สนุกมากเลย Girl: No its not. Please, its too scary! ไม่ตลกนะ ขอร้องล่ะ เค้ากลัวมาก จริงๆ Guy: Then tell me you love me. งั้นบอกผมก่อนสิ ว่ารักผม Girl: Fine, I love you. Slow down! ก็ได้ เค้ารักตัวเอง ลดความเร็วลงสิ Guy: Now give me a BIG hug. แล้วก็กอดผมแน่นๆ Girl hugs him และเธอก็กอดเขา Guy: Can you take my helmet off & put it on yourself? Its bugging me. เอาหมวกกันน็อคผมไปใส่สิ ผมรำคาญน่ะ In the paper the next day :( A motorcycle had crashed into a building because of brake failure. วันต่อมา หนังสือพิมพ์ลงข่าว มอไซค์ชนตึก เนื่องจากเบรค แตก Two people were on it, but only one had survived. มีคน นั่งมอไซค์ 2 คน แต่ว่า รอดคนเดียว The truth was that halfway down the road, the guy realized that his brakes broke, but he didn't want to let the girl know. ความจริงคือ ทางสายนั้นเป็นครึ่งสายลาดลง ผู้ชายรู้ว่าเบรคเขา แตก แต่ก็ไม่อยากใฟ้แฟนสาวรู้ Instead, he had her say she loved him & felt her hug him one last time, then had her wear his helmet so that she would live even though it meant that he would die. แทน ที่จะบอกเธอ เขาให้เธอบอกรักและรู้สึกถึงอ้อมกอดเธอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วให้ เธอ ใส่หมวกกันน็อคเพื่อเธอจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้เขาจะตายไปก็ ตาม If there is anyone in life you love this much, please send this. Forward this to all your good friends on-line to show them that you care. ถ้ามีใครในชีวิตรักคุณซะขนาดนี้ ส่งเมลล์นี่ไปเถอะ ฟอร์เวิร์ด ให้เพื่อนๆที่รัก เพื่อให้เขารู้ว่าคุณแคร์ NOW, make a wish about somthing you would like to happen with you and someone whom you REALLY care about.......... OK, now if you send this to.. เอาล่ะ อธิษฐานซะ โอเค ถ้าคุณ ส่ง... 1 person~ your wish will come true in 6-8 months 1 คน คำ อธิษฐาน จะเป็นจริงใน 6 - 8 เดือน 3 people~ your wish will come true in 4-6 months 3 คน คำ อธิษฐาน จะเป็นจริงใน 4-6 เดือน 5 people~ your wish will come true in 1-2 months 5 คน คำ อธิษฐาน จะเป็นจริงใน 1-2 เดือน 7 people~ your wish will come true in 2 weeks 7 คน คำ อธิษฐาน จะเป็นจริงใน 2 อาทิตย์ 10 people~ your wish will come true in three days 10 คน คำอธิษฐาน จะเป็นจริงใน 3 วัน 14 people~ your wish will come true in the next 24 hours! 14 คน คำอธิษฐาน จะเป็นจริง ใน 24 ชั่วโมง BUT...... If you do not send this to any one, you will have bad luck!!!! แต่ถ้าคุณไม่ ส่งอ่ะ จะโชคร้ายเอานะ
วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553
PS:: A L W A Y S & F O R E V E R
What would you do if every time you fell in love with someone you had to say good-bye?
คุณจะทำอย่างไร เมื่อทุก ๆ ครั้งที่คุณตกหลุมรักใครสักคน คุณต้องกล่าวคำอำลากับคน ๆ นั้น
What would you do if every time you wanted someone they would never be there?
คุณจะทำอย่างไร ถ้าทุกครั้งที่คุณต้องการใครสักคน พวกเขาไม่เคยอยู่ที่นั่น
What would you do if for every moment you were truly happy there would be 10 moments of sadness?
คุณจะทำอย่างไร ถ้าทุก ๆ ครั้งที่คุณรู้สึกมีความสุขจริง ๆ มันมักจะมีช่วงเวลาแห่งความเศร้ามากมายตามมา
What would you do if your best friend died tomorrow and you never got to tell them how you felt?
คุณ จะทำอย่างไร ถ้าเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณจากคุณไปในวันพรุ่งนี้ โดยที่คุณไม่มีโอกาสเลยสักครั้ง ที่คุณจะบอกพวกเขาว่าคุณรู้สึกอย่างไร
What would you do if you loved someone more than anything else and you could never have them?
คุณจะทำอย่างไร ถ้าคุณรักใครบางคนมากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นคนรักของคุณ
Some people live and some people die.
โลกนี้ มีทั้งคนที่มีชีวิต และคนที่ตายจากไป
But I want to tell you I love you and you are a true friend...
แต่ฉันอยากจะบอกคุณว่า ฉันรักคุณ และคุณคือเพื่อนแท้
That I will always be here for you when and if you need me...
คุณคือเพื่อนแท้ที่ฉันจะอยู่เคียงข้าง ทุกเวลาที่คุณต้องการฉัน
If I died tomorrow, you would be in my heart forever.
ถ้าฉันไม่มีชีวิตอีกต่อไปในวันพรุ่งนี้ อย่ากังวลไปเลย คุณจะอยู่ในหัวใจของฉันตลอดไป...
Would I be in yours?
ให้ฉันอยู่ในหัวใจของคุณด้วยนะ
If you care about the person who sent this to you then you will send it back.
ถ้าคุณรักและห่วงใยคนที่ส่งจดหมายฉบับนี้ให้คุณ ช่วยส่งมันกลับไปด้วย
Please send this to all your friends...
และช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ให้เพื่อนของคุณทุกคน
You might be best friends one year, pretty good friends the next year, don't talk that often the next year, and don't want to talk at all the year after that.
คุณ อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในปีแรก เป็นเพื่อนที่ดีน่ารักในปีถัดมา เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยคุยกันบ่อยนักในปีถัดไป และเป็นเพื่อนที่ไม่อยากจะคุยด้วยอีกเลยหลังจากนั้น
So, I just wanted to say, even if I never talk to you again in my life, you are special to me and you have made a difference in my life.
ดังนั้น ฉันจึงแค่อยากจะบอกว่า แม้ว่าฉันกับคุณจะไม่ได้คุยกันอีกเลยชั่วชีวิต แต่คุณคือคนพิเศษสำหรับฉัน และคุณได้สร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตฉัน
I look up to you, respect you, and truly cherish you.
ฉันเคารพคุณ ฉันนับถือคุณ และฉันจะถนอมคุณไว้ในใจของฉัน
Send this to all your friends, no matter how often you talk, or how close you are, and send it to the person who sent it to you.
ส่งจดหมายฉบับนี้ให้เพื่อนของคุณ ไม่ว่าจะคุยกับบ่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหน ส่งจดหมายฉบับนี้ให้คนที่ส่งให้คุณด้วย
Let old friends know you haven't forgotten them, and tell new friends you never will.
ให้เพื่อนเก่า ๆ รู้ว่าคุณยังไม่ลืมเขา และบอกเพื่อนใหม่ว่าคุณจะไม่ลืมพวกเขาเด็ดขาด
Remember, everyone needs a friend, someday you might feel like you have NO FRIENDS at all, just remember this e-mail and take comfort in knowing somebody out there cares about you and always will.
จำ ไว้ว่าทุก ๆ คนต้องการเพื่อน วันหนึ่งคุณอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครสักคน นึกถึงจดหมายฉบับนี้ไว้ รับรู้ความอบอุ่นใจที่ได้รู้ว่าใครบางคนซึ่งอยู่ไกลออกไปห่วงใยคุณอยู่ และจะห่วงใยคุณเสมอ
I LOV E MY FR IE ND S
A L WA YS & FO R E V ER! ! !
ฉันรักพวกคุณทุกคน และจะรักตลอดไป
ความจริงของโลกใบนี้
1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว
5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
7. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู
12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี
18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
เป็นอย่างไรบ้าง อ่านจบแล้วรู้สึกว่าอยากพูด 'อ๋อ ใช่ซี่......'
20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป
22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย
23. ปูอัด มันทำจากปลา
24. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกัน?ลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ
33. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน
35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน
2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ
3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว
5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
7. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู
12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี
18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
เป็นอย่างไรบ้าง อ่านจบแล้วรู้สึกว่าอยากพูด 'อ๋อ ใช่ซี่......'
20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป
22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย
23. ปูอัด มันทำจากปลา
24. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกัน?ลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ
33. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน
35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'
38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน
เราเลิกคบกันเถอะ…ถ้าไม่อ่าน
เคยสงสัยบ้างไหมว่า
คนที่เรารักกับคนที่รักเรามันต่างกันแค่ไหน
คนที่เรารัก
...เราใส่ใจในเรื่องของเขาทุกอย่าง...
...เราแคร์ความรู้สึกเขาเสมอ...
...เราไม่เสียดายเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขา...
...เราพยายามทำความรู้จักเขา...
...เราเป็นห่วงเขา...
...เราหวงเขา...
...เราเสียสละเพื่อเขาได้...
..............แต่................
คนที่รักเรา
...คนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเรา...
...คนที่พยายามทำความรู้จักกับเรา...
...คนที่แคร์ความรู้สึกเรา...
...คนที่เป็นห่วงเรา...
...คนที่ใส่ใจในทุกเรื่องของเรา...
...คนที่เสียสละเพื่อเราได้...
แล้วถ้าให้เลือก
ระหว่างคนที่รักเรากับคนที่เรารัก
เราจะเลือกใคร
1.คนที่เรารัก
2.คนที่รักเรา
3.ไม่เลือกใครสักคน
ไม่ว่าเราจะเลือกใคร
มันก็จะมีคนคนหนึ่งที่จะต้องเสียใจอยู่ดี
1.ถ้าคุณเลือกคนที่เรารัก คนที่รักเราก็จะเสียใจ
2.ถ้าคุณเลือกคนที่รักเรา คุณก็อาจจะต้องเสียใจ
3.ถ้าคุณไม่เลือกใครสักคน ทั้งคุณและคนที่รักคุณก็จะต้องเสียใจ
...แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เสียใจ...
...คือคนที่เรารัก...
1.ถ้าคุณส่งคุณจะพบกับรักแท้ที่ยาวนานใน7วัน
2.ถ้าคุณส่งน้อยกว่า30รายคุณจะประสบอุบัติเหตุภายในบ้าน
3.ถ้าคุณไม่ส่งคุณจะไม่มีวันได้พบรักแท้
เปิดประตูหัวใจของคุณซิ
มีใครอยู่ข้างใน มั่ง
มีพ่อ มีแม่ มีตัวเอง
มีแฟน มีกิ๊ก มีคนรัก มีคนที่ชอบ
แล้ว...........
มีเพื่อนรึเปล่า??
เพื่อนคนไหน?? หลายคน หรือคนเดียว
อย่ายึดติดว่าเพื่อน
จะหมายถึงเพียง...คนที่อยู่ห้องเดียวกับเรา
อย่ายึดติดว่าเพื่อน....จะหมายถึงเพียงคนที่อยู่ร่วมรุ่นกับเรา
อาจมีเพื่อนรุ่นพี่...ที่ต้องให้ความเคารพ
เพื่อนรุ่นน้อง...ที่ต้องคอยเอาใจใส่
คุณ....ให้ความสำคัญกับเพื่อนมากแค่ไหน
สัญญาก่อนนะ..!! ก่อนที่จะอ่านข้อความนี้
คุณจะส่งต่อให้กับคนที่คุณคิดว่าเค้าคือเพื่อนของคุณ
&
เพื่อนที่ปรากฏอยู่ในใจคุณเมื่อเอ่ยคำคำนี้.......' เพื่อน'
แล้วอย่าลืม...ส่งกลับให้คนที่
ส่งให้คุณด้วย
หากว่าคนที่ส่งมาให้คุณนั้น
คือเพื่อนของคุณเช่นกัน
*************************************
ถึงเวลา...จะเปลี่ยนผันไปแต่ว่า....
เราก็ยังเหมือนเดิม
รักกันเท่าใด...ก็ยังรักกันเท่านั้น
บางทีอาจรักมากยิ่งขึ้น...หรือมากขึ้นไปเรื่อยๆ
จนไม่มีวันสิ้นสุด
หากเราจากกันไป...เราจะจำไว้ว่า
มีที่ๆนึง
ที่ทำให้เรา...ได้รู้จักกัน
ที่แห่งหนึ่ง...ได้ให้ประสบการณ์ดี ๆ กับเรา
ทั้ง ทุกข์ สุข เหงา เศร้า ฯลฯ
ซึ่งที่แห่งนั้นมีทั้ง..อาจารย์...เพื่อนรุ่นน้อง...หรือรุ่นพี่
หรือใครต่อใครอีกมากมาย
และที่แห่งนั้น
ก็จะอยู่ในความทรงจำดีๆของ
เราตลอดไป
******
คำว่าเพื่อน ไม่ได้เพียง แค่รู้จัก
แต่เป็นความรัก ความผูกพัน ที่มีอยู่เสมอ
ฉันจะไม่ลืม เพื่อนดีดี อย่างเช่นเธอ
ไม่มีทาง ลืมเกลอ ที่แสน ดี
******
เพื่อนคือคํา คำหนึ่ง ซึ่งสูงค่า
มีที่มา เนิ่นนาน โบราณเหลือ...
เพื่อนของพริก รับรอง ต้องเป็นเกลือ
เพื่อนของเรือ นั่นหรือ ก็คือพาย
เพื่อนของช้าง ปางไหน ก็ใช้โซ่
เพื่อนของปลา นั้นโอ้โห คือธารสาย
เพื่อนแครอท แน่นัก คือกระต่าย
เพื่อนของช้อน คิดสบาย คือถ้วยจาน
เพื่อนของเสือ แน่นอน ว่าคือป่า
เพื่อนของหญ้า คือดิน ทุกถิ่นฐาน
เพื่อนวันนี้ จงเชื่อมั่น คือวันวาน
เพื่อนของฉัน..อ่ะเหรอ ก็เธอไง
******
มิตรที่ดีไม่จำเป็นต้องฉลาด
ต้ององอาจ กล้าหาญ หรือสะสวย
มิตรที่ดีไม่จำเป็นต้องร่ำรวย
ไม่ต้องหมวย สวย เก๋ นักกีฬา
มิตรที่ดีอาจจนก็เป็นได้
อาจจะโง่ ขี้อายหรือ เหรอหรา
แต่พวกเขาพร้อมช่วยเพื่อนทุกเวลา
ไม่คิดค่าตอบแทนแต่อย่างไร
เพื่อนจะดี ดีที่ใจใช่ใบหน้า
อาจเหมือนผ้าที่ดูสวยแต่ขาดได้
ต่างกับเพื่อนดีที่ใจใช่คนร้าย
ก็เปรียบได้กับผ้าที่ทนทาน
******
ขอขอบคุณ…ที่ช่วยแต่งแต้มวันหงอยเหงาให้สดใส
ขอขอบคุณ…ที่มอบดอกไม้แห่งน้ำใจให้ฉัน
ขอขอบคุณ…ความผูกพันที่มีให้กัน
ขอขอบคุณ…สายสัมพันธ์แห่งความจริงใจ
ขอขอบคุณ…ความอาทร ความห่วงใย
ขอขอบคุณ…ความเข้าใจไม่มีวันล่มสลาย
ขอขอบคุณ… กาลเวลาที่พาเรามาทักทาย
ขอขอบคุณ…สิ่งทั้งหลายที่ทำให้เราเป็น...เพื่อนกัน
******
คำ…ว่าเพื่อนของฉัน
ว่า…อย่างไรก้อไม่มีวันจางหาย
เพื่อน…ยังคงคิดถึงกันไม่เสื่อมคลาย
ไม่…เคยจางหายแม้ต้องจากกัน
มี…เวลาที่เราได้พบเจอ
วัน… นั้นเสมอเป็นฝันชั้นสวรรค์
จาง…ไม่หายลบไม่เลือนในใจ ฉัน
หาย…จากกันแต่เรายังเป็นเพื่อนกันตลอดไป
******
และคำสุดท้าย
เชื่อว่า...เพื่อนทุกคนเคยทำผิดต่อกันและกัน
แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่า...ตัวเรานั้นจะให้อภัยเพื่อนหรือไม่
ถ้าคิดที่จาอยู่ด้วยมิตรภาพของกันและกันตลอดไป
ท่องเอาไว้
การให้อภัยกัน ดีที่สุด
อีเมลล์ฉบับ นี้อยากให้เพื่อนส่งต่อให้
เพื่อนเพื่อขอโทษสำหรับสิ่งที่เคยทำผิด
และเพื่อ..........
มิตรภาพของเราจาได้อยู่กับมันตลอดไป
ขอโทษน่ะเพื่อนๆ
กับเรื่องแย่ๆที่เราทำลงไป
ขอโทษนะ.....
ความหมายของคำว่าเพื่อน
เพื่อนคือ ... ยิ่งกว่าแฟนก้อว่าได้ ไม่ตามใจมัน ก็ไม่ด่า แต่ถ้ามันไม่ตามใจเราก็ด่าได้ โดยที่มัน และเราไม่โกรธกัน
เพื่อนเมื่อโกรธกันสามารถกลับมาคืนดีกันได้โดยไม่ต้องเก็บความสงสัยว่า
เรื่องที่โกรธกันคืออะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป
เพื่อนคือท ี่พึ่งยามเป็นทุกข์ เพื่อนคือที่ปรึกษา ตั้งแต่เรียน ทำงาน จนจะแต่งงาน! ก็ยังต้องปรึกษามัน
เพื่อนคอยสับรางเวลารถไฟจะชน
เพื่อนคอยโกหกพ่อแม่เวลาไปเที่ยวแต่บอกว่าไปทำงาน
เพื่อนคอยบอกแฟนว่าเรากำลังอยู่กับมัน ทั้งที่จริงเราไม่ได้อยู่กับมันหรอกและเพื่อนก็คือคนจ่ายค่าข้าวเวลาเราไม่มีเงิน ' เพื่อน ' คือ ทุกอย่าง
มีผู้ .... ที่เคยคบกันถามว่าจะให้เลือกหนึ่งเดียว
ระหว่างเค้าซึ่งคบกันมา 1 ปี กับเพื่อนซึ่งคบมาประมาณ 15 ปี ว่าคุณจะเลือกใคร
ตอบแบบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า ' เพื่อน '
ซึ่งเค้าก็บอกว่าตอบผิดตอบใหม่ได้นะ
เราก็บอกว่าตอบถูกแล้ว เพราะเค้าเห็นว่าเรารักเพื่อนมากกว่า แต่ไม่ใช่
ถัาเราจะต้องเอาคนเข้ามาในชีวิตอีก 1 คน
ซึ่งก็ยังไม่รู้อะไรกันมาก
กับเสียคนที่เรารู้จกกันมาเป็น 10 ปี
เราว่าทุกคนก็ต้องมีคำตอบเหมือนกับเร า
เพราะทั้งสำหรับคนทั้งสองกลุ่ม
เราไม่สามารถเอาแต่ละคนมาบวกและลบกันเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเลือกสิ่งที่มีค่ามากกว่า และสิ่งที่เราเลือก สิ่งนั้นก็คือ *****'' เพื่อน ''****
' some time happy… some time sad… but all time friend '
บทส่งท้าย ถ้าเราสนุก ไปเที่ยวโดยไม่มีเพื่อน แล้วเล่าให้มันฟัง
มันก็ไม่ว่าอะไร .... แล้วถ้าเราเที่ยวแล้วเกิดปัญหา เราตามตัวมันมา
มันเคยพูดไหมว่า '* ไม่สน * เที่ยวแล้วไม่ชวน * * '
คำพูดอย่างนี่จะไม่มีจากปากเพื่อน
จะแต่ว่า ' อยู่ตรงไหน เป็นอะไร ' แล้วก็ลงท้ายว่า * จะรีบไป ....
อย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนคนที่คุณรักด้วยนะ
วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553
เราเลิกคบกันเถอะ…ถ้าไม่อ่าน
เคยสงสัยบ้างไหมว่า
คนที่เรารักกับคนที่รักเรามันต่างกันแค่ไหน
คนที่เรารัก
...เราใส่ใจในเรื่องของเขาทุกอย่าง...
...เราแคร์ความรู้สึกเขาเสมอ...
...เราไม่เสียดายเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขา...
...เราพยายามทำความรู้จักเขา...
...เราเป็นห่วงเขา...
...เราหวงเขา...
...เราเสียสละเพื่อเขาได้...
..............แต่................
คนที่รักเรา
...คนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเรา...
...คนที่พยายามทำความรู้จักกับเรา...
...คนที่แคร์ความรู้สึกเรา...
...คนที่เป็นห่วงเรา...
...คนที่ใส่ใจในทุกเรื่องของเรา...
...คนที่เสียสละเพื่อเราได้...
แล้วถ้าให้เลือก
ระหว่างคนที่รักเรากับคนที่เรารัก
เราจะเลือกใคร
1.คนที่เรารัก
2.คนที่รักเรา
3.ไม่เลือกใครสักคน
ไม่ว่าเราจะเลือกใคร
มันก็จะมีคนคนหนึ่งที่จะต้องเสียใจอยู่ดี
1.ถ้าคุณเลือกคนที่เรารัก คนที่รักเราก็จะเสียใจ
2.ถ้าคุณเลือกคนที่รักเรา คุณก็อาจจะต้องเสียใจ
3.ถ้าคุณไม่เลือกใครสักคน ทั้งคุณและคนที่รักคุณก็จะต้องเสียใจ
...แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เสียใจ...
...คือคนที่เรารัก...
1.ถ้าคุณส่งคุณจะพบกับรักแท้ที่ยาวนานใน7วัน
2.ถ้าคุณส่งน้อยกว่า30รายคุณจะประสบอุบัติเหตุภายในบ้าน
3.ถ้าคุณไม่ส่งคุณจะไม่มีวันได้พบรักแท้
วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553
10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
HGH หรือ ฮอร์โมนเจริญวัยคืออะไร?
คุณประโยชน์ของ Bio Spary และ Bio Spray Plus
ฮอร์โมนเจริญวัยมักจะถูกขนานนามว่าเป็น “ น้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว ” เป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างโดยต่อมพิตูอิตารี่ใต้สมอง ฮอร์โมนนี้เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนอยู่ทั้งหมด 191 โมเลกุล ถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลส์
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ทุกคน คือความชรา เราสามารถทราบถึงกระบวนการแห่งความชราได้ด้วยการสังเกตอาการต่อไปนี้ :
ผิวหนังเหี่ยวย่น , ผมหงอก , กล้ามเนื้อลีบลง , ไขมันเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบเอว , ความจำเสื่อม , ภูมิต้านทานต่ำลง
เหล่านี้คืออาการบางอย่างของความชราที่สังเกตได้ชัดและป้องกันได้ ผลการศึกษาทางคลินิกได้ให้ข่าวดีแก่เราว่า ถ้าเราทำให้ฮอร์โมนเจริญวัยในคนเพิ่มสูงขึ้น เราจะสามารถย้อนวัยทางชีวภาพกลับไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวขึ้นได้อีกหลายปี
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ HGH ในร่างกายลดลง?
มันเป็นการเริ่มต้นของกระบวนการแก่ตัวของร่างกาย !
ต่อมใต้สมองจะหลั่ง HGH เป็นจำนวนมากในปริมาณที่สัมพันธ์กับการเจริญเติบโตในวัยต่างๆของมนุษย์ ปริมาณ HGH จะสูงขึ้นขณะเราอยู่ในครรภ์มารดา และจะลดลงในวัยเด็ก แล้วกลับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น( การหลั่งฮอร์โมนจะมากขณะเราหลับ นี่คือสาเหตุที่วัยรุ่นนอนมากกว่าวัยอื่น บางคนยังเชื่อด้วยว่าวัยรุ่นจะยืดตัวหรือเจริญเติบโตขณะนอนหลับ ! )
HGH จะลดลง เมื่ออายุ 30 ปี ขึ้นไประดับจะเหลือเพียง 40% ของอายุ 20 ปี และจะลดฮวบจนน่าตกใจ ในบางคนแทบจะไม่มี HGH หลั่งออกมาเลย เมื่อขาด HGH การทำงานของอวัยวะต่างๆ จะลดลง อาการของโรคชราและโรคอื่นๆ จะเกิดขึ้น
คุณประโยชน์ของ Bio Spary และ Bio Spray Plus
ฮอร์โมนเจริญวัยมักจะถูกขนานนามว่าเป็น “ น้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว ” เป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างโดยต่อมพิตูอิตารี่ใต้สมอง ฮอร์โมนนี้เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนอยู่ทั้งหมด 191 โมเลกุล ถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลส์
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ทุกคน คือความชรา เราสามารถทราบถึงกระบวนการแห่งความชราได้ด้วยการสังเกตอาการต่อไปนี้ :
ผิวหนังเหี่ยวย่น , ผมหงอก , กล้ามเนื้อลีบลง , ไขมันเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอบเอว , ความจำเสื่อม , ภูมิต้านทานต่ำลง
เหล่านี้คืออาการบางอย่างของความชราที่สังเกตได้ชัดและป้องกันได้ ผลการศึกษาทางคลินิกได้ให้ข่าวดีแก่เราว่า ถ้าเราทำให้ฮอร์โมนเจริญวัยในคนเพิ่มสูงขึ้น เราจะสามารถย้อนวัยทางชีวภาพกลับไปสู่ความเป็นหนุ่มสาวขึ้นได้อีกหลายปี
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ HGH ในร่างกายลดลง?
มันเป็นการเริ่มต้นของกระบวนการแก่ตัวของร่างกาย !
ต่อมใต้สมองจะหลั่ง HGH เป็นจำนวนมากในปริมาณที่สัมพันธ์กับการเจริญเติบโตในวัยต่างๆของมนุษย์ ปริมาณ HGH จะสูงขึ้นขณะเราอยู่ในครรภ์มารดา และจะลดลงในวัยเด็ก แล้วกลับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น( การหลั่งฮอร์โมนจะมากขณะเราหลับ นี่คือสาเหตุที่วัยรุ่นนอนมากกว่าวัยอื่น บางคนยังเชื่อด้วยว่าวัยรุ่นจะยืดตัวหรือเจริญเติบโตขณะนอนหลับ ! )
HGH จะลดลง เมื่ออายุ 30 ปี ขึ้นไประดับจะเหลือเพียง 40% ของอายุ 20 ปี และจะลดฮวบจนน่าตกใจ ในบางคนแทบจะไม่มี HGH หลั่งออกมาเลย เมื่อขาด HGH การทำงานของอวัยวะต่างๆ จะลดลง อาการของโรคชราและโรคอื่นๆ จะเกิดขึ้น
ถ้าต้องนำอาหารแต่ละชนิดมาวิเคราะห์ทางเคมี เราพบว่ามีสารอาหารที่ แบ่งตามหลักโภชนาการ ออกเป็น 6 ประเภทดังนี้
1.คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญโดยให้พลังงานแก่เราและพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตนี้จะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าโปรตีนหรือไขมัน
2.ไขมัน เป็นสารอาหารที่ถือว่าเป็น จอมพลังงาน เพราะให้แคลลอลี่มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งไขมันบางชนิดจะเป็นชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้เรียกว่าไขมันจำเป็นเพราะช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี และเค ที่ละลายในไขมัน
3.วิตามิน เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนไม่มากนัก แต่จำเป็นเพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆของการเผาผลาญพลังงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ร่างกายสามารถสร้างวิตามินได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
4.เกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะเกลือแร่แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง สามารถแบ่งเกลือแร่ออกเป็นชนิดที่ร่างกายต้องการในขนาดมาก เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมเป็นต้น และชนิดที่ร่างกายต้องการขนาดน้อย เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ไอโอดีน เป็นต้น
5.น้ำ เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ มนุษย์อาจอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำ 2-3 วัน ก็อาจเสียชีวิตได้ น้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับสองรองจากออกซิเจน
1.คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญโดยให้พลังงานแก่เราและพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตนี้จะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าโปรตีนหรือไขมัน
2.ไขมัน เป็นสารอาหารที่ถือว่าเป็น จอมพลังงาน เพราะให้แคลลอลี่มากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งไขมันบางชนิดจะเป็นชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้เรียกว่าไขมันจำเป็นเพราะช่วยดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี และเค ที่ละลายในไขมัน
3.วิตามิน เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนไม่มากนัก แต่จำเป็นเพื่อให้ปฏิกิริยาต่างๆของการเผาผลาญพลังงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ร่างกายสามารถสร้างวิตามินได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
4.เกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะเกลือแร่แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง สามารถแบ่งเกลือแร่ออกเป็นชนิดที่ร่างกายต้องการในขนาดมาก เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมเป็นต้น และชนิดที่ร่างกายต้องการขนาดน้อย เช่น เหล็ก สังกะสี ทองแดง ไอโอดีน เป็นต้น
5.น้ำ เป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ มนุษย์อาจอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำ 2-3 วัน ก็อาจเสียชีวิตได้ น้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับสองรองจากออกซิเจน
10 ความเข้าใจผิดๆ กับเรื่องอาหาร
1.งดมื้อเช้า
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ
3.หลังออกกําลังกาย
ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ
4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ
5.เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6.กินน้อยๆ
คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ
7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ
8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยละ
9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ
10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ เอ้า...ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ทิ้งมันได้ลงก็ให้มันรู้ไป
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ
3.หลังออกกําลังกาย
ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ
4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ
5.เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6.กินน้อยๆ
คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ
7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ
8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยละ
9.ไดเอ็ทแบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ
10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ เอ้า...ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ทิ้งมันได้ลงก็ให้มันรู้ไป
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
10 วิธี ที่จะไปได้ดีกับทุกคน
1.ก่อนจะพูดอะไรกับใคร จงถามตัวเองก่อนว่า:
มันจริงไหม มีเมตตาไหม จำเป็นไหม
ไม่สัญญาพร่ำเพรื่อ แต่สัญญาแล้วถืออย่างซื่อสัตย์
2.อย่าพลาดโอกาสที่จะกล่าวชมหรือให้กำลังใจผู้อื่น
3.อย่าพูดถึงผู้อื่นในแง่ร้าย อย่านินทา และอย่าฟังการนินทา
4.จงพร้อมที่จะให้อภัย จงเชื่อว่าคนส่วนมากก็พยายามทำดีที่สุดเท่าที่สามารถแล้ว
5.จงเปิดใจกว้าง จงถกปัญหา แต่อย่าวิวาท
6.จงนับถึง 1,000 (ไม่ใช่แค่ 10) ก่อนที่จะพูดหรือทำอะไร ที่จะทำให้เรื่องมันเลวร้ายลง
7.ถ้าใครตำหนิท่าน จงดูว่าที่เขาพูดนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็แก้ไขเสีย
ถ้าไม่จริงก็แล้วไป และจงดำเนินชีวิตอย่างที่จะไม่ทำให้ใครเชื่อคำใส่ร้ายนั้น
8.จงมีอารมณ์ขัน การหัวเราะเป็นระยะทางที่สั้นที่สุดระหว่างสองคน
อย่าแสวงหาความบรรเทา มากกว่าที่จะบรรเทาใจผู้อื่น
9.อย่าคอยให้คนอื่นเข้าใจเรามากกว่าที่จะเข้าใจผู้อื่น
10.อย่าคอยให้คนอื่นมารัก มากกว่าที่จะรักคนอื่น
1.ก่อนจะพูดอะไรกับใคร จงถามตัวเองก่อนว่า:
มันจริงไหม มีเมตตาไหม จำเป็นไหม
ไม่สัญญาพร่ำเพรื่อ แต่สัญญาแล้วถืออย่างซื่อสัตย์
2.อย่าพลาดโอกาสที่จะกล่าวชมหรือให้กำลังใจผู้อื่น
3.อย่าพูดถึงผู้อื่นในแง่ร้าย อย่านินทา และอย่าฟังการนินทา
4.จงพร้อมที่จะให้อภัย จงเชื่อว่าคนส่วนมากก็พยายามทำดีที่สุดเท่าที่สามารถแล้ว
5.จงเปิดใจกว้าง จงถกปัญหา แต่อย่าวิวาท
6.จงนับถึง 1,000 (ไม่ใช่แค่ 10) ก่อนที่จะพูดหรือทำอะไร ที่จะทำให้เรื่องมันเลวร้ายลง
7.ถ้าใครตำหนิท่าน จงดูว่าที่เขาพูดนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็แก้ไขเสีย
ถ้าไม่จริงก็แล้วไป และจงดำเนินชีวิตอย่างที่จะไม่ทำให้ใครเชื่อคำใส่ร้ายนั้น
8.จงมีอารมณ์ขัน การหัวเราะเป็นระยะทางที่สั้นที่สุดระหว่างสองคน
อย่าแสวงหาความบรรเทา มากกว่าที่จะบรรเทาใจผู้อื่น
9.อย่าคอยให้คนอื่นเข้าใจเรามากกว่าที่จะเข้าใจผู้อื่น
10.อย่าคอยให้คนอื่นมารัก มากกว่าที่จะรักคนอื่น
ของขวัญจากพระเจ้า....บัญชีธนาคาร
ข้อกำหนดและเงื่อนไข
1.รับฝากเฉพาะความรัก และพระพรในบัญชีเท่านั้น
2.สิ่งที่ดีที่สุดคือ ท่านไม่ต้องเสียอะไรเลย
3.โปรดใช้บัญชีนี้อย่างเต็มที่
4.อัตราดอกเบี้ยคำนวณจากเงินตะลันต์ที่ท่านได้รับ
5.หากท่านทำรหัสนี้หาย ท่านจะสูญเสียทุกสิ่งในวันนี้
6.โปรดฝากสิ่งที่ท่านได้รับในบัญชีของคนอื่นด้วย
7.ขอให้ปัญหาของท่านน้อยลง และได้รับพระพรมากขึ้น
8.ขออย่าให้สิ่งอื่นใดมากล้ำกลายประตูบ้านของท่านนอกจากความสุข
ข้อกำหนดและเงื่อนไข
1.รับฝากเฉพาะความรัก และพระพรในบัญชีเท่านั้น
2.สิ่งที่ดีที่สุดคือ ท่านไม่ต้องเสียอะไรเลย
3.โปรดใช้บัญชีนี้อย่างเต็มที่
4.อัตราดอกเบี้ยคำนวณจากเงินตะลันต์ที่ท่านได้รับ
5.หากท่านทำรหัสนี้หาย ท่านจะสูญเสียทุกสิ่งในวันนี้
6.โปรดฝากสิ่งที่ท่านได้รับในบัญชีของคนอื่นด้วย
7.ขอให้ปัญหาของท่านน้อยลง และได้รับพระพรมากขึ้น
8.ขออย่าให้สิ่งอื่นใดมากล้ำกลายประตูบ้านของท่านนอกจากความสุข
ความคิดนะหรือ
มองในมุมต่างๆ
ความทุกข์ มีไว้เป็นแบบทดสอบความแข็งแกร่งของชีวิต
ความเศร้า หนทางแสดงออกของความทุกข์
ความเหงา เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับการเรียนรู้ตนเอง
ความสุข มิให้เก็บเกี่ยวได้เสมอตลอดเวลา ...แม้กระทั่งในเวลาแห่งทุกข์
ความจริง เป็นสิ่งที่คนใช้กันน้อย....และมักมองผ่าน
ความลวง สิ่งที่หน้าเกลียดที่สุด....แต่คนชอบใช้
ความรัก คือสิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก
มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ด้วยหัวใจ
ความทุกข์ มีไว้เป็นแบบทดสอบความแข็งแกร่งของชีวิต
ความเศร้า หนทางแสดงออกของความทุกข์
ความเหงา เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับการเรียนรู้ตนเอง
ความสุข มิให้เก็บเกี่ยวได้เสมอตลอดเวลา ...แม้กระทั่งในเวลาแห่งทุกข์
ความจริง เป็นสิ่งที่คนใช้กันน้อย....และมักมองผ่าน
ความลวง สิ่งที่หน้าเกลียดที่สุด....แต่คนชอบใช้
ความรัก คือสิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก
มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ด้วยหัวใจ
สิ่งสำคัญ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ศัตรูที่หน้าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง
สิ่งที่หน้าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา คือ การดูถูกตัวเอง
สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอุตสาหะวิริยะ
ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา คือ ความสิ้นหวัง
ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความเมตตา
ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือการทำตามใจแบบไร้เหตุผล
สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
ศัตรูที่หน้าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง
สิ่งที่หน้าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา คือ การดูถูกตัวเอง
สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอุตสาหะวิริยะ
ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา คือ ความสิ้นหวัง
ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความเมตตา
ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือการทำตามใจแบบไร้เหตุผล
สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
คำว่าเพื่อนแท้
เพื่อนแท้....
เพื่อนทั่วไปไม่เคยเห็นคุณร้องไห้
.......เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้ซับน้ำตาคุณ
เพื่อนทั่วไปจะไม่รู้ชื่อพ่อแม่ของคุณ
.......เพื่อนแท้จะมีเบอร์ของคุณในสมุดจดโทรศัพท์ของเขา
เพื่อนทั่วไปจะถือขวดไวน์มางานปาร์ตี้ของคุณ
.......เพื่อนแท้จะมาแต่วันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไปอยากคุยกับคุณถึงปัญหาของเขา
.......เพื่อนแท้อยากช่วยปัดเป่าปัญหาของคุณออกไป
เพื่อนทั่วไปจะพิศวงในเรื่องโรแมนติกเก่าๆ
......เพื่อนแท้สามารถเอาเรื่องนี้มาอำคุณได้
เพื่อนทั่วไปเวลามาเยี่ยมคุณทำตัวเยี่ยงแขก
.......เพื่อนแท้จะตรงรี่ไปเปิดตู้เย็นและบริการตนเอง
เพื่อนทั่วไปคิดว่ามิตรภาพจบลงเมื่อเกิดการทะเลาะถกเถียง
........เพื่อนแท้รู้ว่านั่นมิใช่มิตรภาพจนกว่าคุณได้เคยวิวาทกัน
เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุ๕อยู่เคียงข้างเขาเสมอ
........เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไปจะอ่านข้อความนี้แล้วโยนลงถังขยะ
........เพื่อนแท้จะเฝ้าส่งต่อๆไปจนมั่นใจว่ามันได้ถึงมือผู้รับ....
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย
และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ไร่เลย์, อ่าวนาง, กระบี่
ไร่เลย์, ชื่อนี้ส่วนใหญ่ไม่คอยรู้จักในหมู่คนไทยแต่ส่วนมากจะรู้จักกันในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งชาวต่างชาติรู้จักไร่เลย์ว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ บนเกาะแผ่นดินใหญ่,เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นหน้าผาหินปูนและเป็นบริเวณที่เงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อนที่เหนื่อยมาจากการทำงาน: การเดินทาง ถ้าคุณมาจากกระบี่สามารถรเดินทางโดยนั่งเรือหางยาวจาก อ่าวนาง หรือ อ่าวน้ำเมา หรือ ตัวเมืองกระบี่ หรือเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวถ้าคุณมาจาก เกาะพี พี. อนุรักษ์นิยมนักท่องเที่ยวต้องการรักษาสถานที่นี้ให้ยังคงเดิมตามธรรมชาติ ไร่เลย์จึงเป็นสถานที่ไม่มีถนน. เรือจึงเดียวที่สามารถไปที่ อ่าวนาง หรือ อ่าวน้ำเมา (สุสานหอย75ล้านปี).ช่วงเดือน พฤษภาคม - ตุลาคม เป็นช่วงน่ามรสุมของทุกปี .
สุดท้ายฉันไปที่นี้ เมื่อวันที่ 17 เม.ย 08 เพื่อไปสำรวจรีสอร์ใหม่ๆหรือสิ่งที่เปลียนแปลง สิ่งแตกจากที่ฉันไปมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากเดินตามแนวชาวยหาด นั้งดูพระอาทิตย์ตก นอนอาบแดด และเดียวนี้ได้มีโรงแรมและรีสอร์เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวจึงเลือกไร่เลย์เป็นที่ปลายทางที่เขามาพักผ่อนและได้อยู่กะธรรมชาติจริง ถึงแม้นเมื่อก่อนจะมีผลกระทบจากสึนามิมาก็ตาม แต่ ณ ปัจจุบันสึนามิทำให้ท่องทะเลอันดามันสวยงามขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนให้เขามาเที่ยได้มากขึ้น
ทำไมฉันมาที่นี้หลายๆครั้งและสิ่งที่ฉันชอบที่นั้น: เรื่องนี้ถ้าได้เล่ากันยาวแน่น ในครังแรกที่ผมได้มาที่นี้เมื่อ15 ปีที่ผ่านมา. ผมได้ไปพักที่ รายาวดี รีสอร์ท ความคิดผมคิดว่าหาดที่ผมไปพักเหมือกับหาดในภาพยนต์เช่นนี้นั้นเป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปที่นั้น
ไร่เลย์ ไม่เคยเปลียนแปลงสิ่งเปลียนมีแต่ที่พัก. รีสอร์ทมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเงื่อนไขของการจำกัดจำนวนบังกะโล. โชคดีที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับสถานที่ท่องเที่ยว จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวของไร่เลย์เขา ถ้และชายหาด. กิจกรรมที่น่าสนใจเมื่อท่านไปเที่ยวที่ไร่เลย์ เช่น การเล่นวอลเลย์บอบชายหาด ปีนหน้าผา ปีนเขา ฯลฯ. ตระกูลที่รอบรู้เรื่องไร่เลย์มากที่สุดและเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ไร่เลย์ คือตระกูลหง้าฝา และ ตระกูลขยันการทั้งสองรู้จักกันดี ใน อ่าวนาง และ ไร่เลย์. อย่างไรก็ตามเราได้กล่าวขอบคุณพวกภายใต้คลับท่องถิ่น " รัก ไร่เลย" หรือ " คนรักไร่เลย์" หมายถึงกลุ่มคนพวกนี้ยังคงอนุรักษ์ รักษาผาหิน หาด และสิ่งแวดล้อมของไร่เลย์ต่อไป .ในช่วงปลายเดือน เม.ย จะมีจัดการแข่งขันกานปีนหน้าผาประจำปีทุกปี
ปีนหน้าผา
ไร่เลย์มีจุดเด่นที่กิจกรรมการปีนหน้าผา. โดยภาพนี้เป็นการฝึกการปีนหน้าผาจำลอง. ในไร่เลย์มีผาหินปูนมากมายเหมือนแทบดินแดนตะวันตกที่มีผาหินปูมากมาย. ฉันจึงอยากแนะนำให้ลองมาปีนหน้าผาที่ไร่เลยดู ....แผนที่ไร่เลย์
การปีนผาสำหลับผู้ที่หัดปีใหม่ๆควน ไปลองฝึกที่ อ่าวต้นไทร และ หาดไรเลย์
----------------------------------------------
จุดชมวิวของไร่เลย์ ทั้งตะวันตกและตะวันออก
สิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อไปที่ไร่เลย์คือการเก็บภาพสวยๆกลับมาอย่าฉัน. เมื่อพระอาทิตย์จะตกแสงแดดสะท้อนเงาจากหินลงไปที่อ่าว ต้นมะพร้าวเรียงติดกันเป็นแถว เรือประมงแยกย้ายอันออกทะเล. ภาพนั้นเหมือสวรรคของผม
ภาพข้างซ้ายไร่เลย์ตะวันตก ทางด้านขวาตือไร่เลย์ตะวันออกส่วนข้างหลังคือหาดพระนางคือพนังคุณสามารถเดินผ่านทั้ง3หาดได้สบาย(ถ่ายภาพที่บ้านตะเกียงรีสอร์ท)
บึงหรือหนองน้ำ
อีกที่ที่ดึงดูกสำหลับคนที่รักการผจญภัย คุณต้องเดินไต่ขึ้นไต่ลง บางที่ท่างก็ชันเกินไปคุณต้องกระโดด เมื่อคุณมาถึงที่คุณจะพบกับทะเลสาบ ลากูนที่สวยงาม และที่นั้นยังเป็นจุดปีนผาอีกจุดหนึ่งที่หน้าสนใจ
----------------------------------------------
ถ้ำ หาด พระนาง
จากประสบการณ์หาดพระนางเป็นหาดสวยงามหาดทรายขาว มีคใส่ชุดว่ายน้ำนอนอาบแดด มาการสนุกกับกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ ถ้ำหาดพระนางเป็นถ้ำที่มีนิทานท่องถิ่น(ฉันไม่สามารถจำเรื่องราวได้) การเดินทางไปหาดพระนาง คุณสามารถเดินทาง จากหาดไร่เลย์ประมาณ15 นาที
ถ้ำพระนาง
Diamond Cave Resort และ Nopparatthara ตั้งอยู่บนเกาะพีพี และอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นเส่นทางที่ให้นักท่องเที่ยวเดินชมถ้ำใช้เวลาในการชมประมาณ 10 - 15นาทีถ้าคุณมาไร่เลย์อย่าพลาดที่คุณจะลองมาสัมผัสที่ถ้ำนี้ดู ถึงแม้นมันจะหายากไปหน่อย
ไร่เลย์ ตะวันตก
ไร่เลย์ตะวันตกเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ การอาบแดดว่ายน้ำ เล่นวอลเลย์บอลชายหาด ฯลฯ. นักท่องเที่ยวที่ต้องไปเที่ยวเกาะพีพี ทุกวันจะมีเรือจากอ่าวนางออกเวลา 9:00 น.เรือจะจอดรับนักท่องเที่ยวที่อ่าวนางประมาณ 10นาที.
รีสอร์ท ที่แนะนำ เมื่อคุณไปที่ยวที่ไร่เลย์Railay Village, Railay Bay, Sand Sea Resort.
ไร่เลย์ ตะวันออก
เป็นหาดที่ไม่เหมาะกับการว่ายน้ำเพราะเป็นป่าโกงกาง. มีเพียงพับเล็กๆ และจุดปีนผาและร้านอาหาร
มีสามรีสอร์ทที่แนะนำในบริเวนนี้
Sunrise Tropical Resort, พึ้งเปิดใหม่ปลายปี2002.
Ya Ya Resort, อยู่บริเวณป่าโกงกางต้นมะพร้าวและมีต้นไม้มาก
Diamond Private Resort, มีระเบียงส่วนตัว รีสอร์ทอยู่บนเขาเล็กน้อย มีสระว่ายน้ำ คุณจะสนุกกับการชมวิวและดื่มด่ำกับธรรมชาติ
Diamond Cave Resort, รีสอร์อยู่บนเขาเล็กน้อย มีร้านอาหาร อินเทอร์เน็ต มีสระว่ายน้ำ และมีทัวร์แพ็คเกจจาทางรีสอร์ทเป็นจำนวนมาก
----------------------------------------------
หาดต้นไทร
การเดินทางมาอาจไม่สะดวกสะบายและไกลจากแหล่งท่องเที่ยว แต่ไม่ไกลจากร้านอาหาร เรือ ATM อินเตอร์เน็ต ฯลฯคุณสามมาเดินทางจาหาดไร่เลย์มาหาดต้นไทรได้
Tonsai Bay; ติดหาด มีปีนผา เป็นรีสอร์ทประเภทบังกะโล ไม่มีสระว่ายน้ำแม่มีจำหนดการจะสร้างเร็วๆนี้
----------------------------------------------
หาดต้นไทรเป็นที่นักท่องเที่ยวนิยามมาปีนหน้าผา เล่นวอลเลย์บอล สามารถมองเห็นเกาะต่างๆได้ไม่ไกลเช่าเกาะไก เกาะทับ เกาะปอดะเป็นเกาะที่ Unseen Thailand.
ไร่เลย์เป็นที่เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติ และหลีกหนีจากความเหนื อยล่าจากการทำงานความวุ่นวายของตัวเมือใหญ่ๆ. ฉันนั้งดูพระอาทิตย์ยามเย็นแสงทอดผาหินสทอนเป็นเงาลงหาดเป็นภาพที่ดึงดูดให้ฉันอยากกลับไปอีก
ไร่เลย์, ชื่อนี้ส่วนใหญ่ไม่คอยรู้จักในหมู่คนไทยแต่ส่วนมากจะรู้จักกันในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งชาวต่างชาติรู้จักไร่เลย์ว่าเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ บนเกาะแผ่นดินใหญ่,เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นหน้าผาหินปูนและเป็นบริเวณที่เงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อนที่เหนื่อยมาจากการทำงาน: การเดินทาง ถ้าคุณมาจากกระบี่สามารถรเดินทางโดยนั่งเรือหางยาวจาก อ่าวนาง หรือ อ่าวน้ำเมา หรือ ตัวเมืองกระบี่ หรือเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวถ้าคุณมาจาก เกาะพี พี. อนุรักษ์นิยมนักท่องเที่ยวต้องการรักษาสถานที่นี้ให้ยังคงเดิมตามธรรมชาติ ไร่เลย์จึงเป็นสถานที่ไม่มีถนน. เรือจึงเดียวที่สามารถไปที่ อ่าวนาง หรือ อ่าวน้ำเมา (สุสานหอย75ล้านปี).ช่วงเดือน พฤษภาคม - ตุลาคม เป็นช่วงน่ามรสุมของทุกปี .
สุดท้ายฉันไปที่นี้ เมื่อวันที่ 17 เม.ย 08 เพื่อไปสำรวจรีสอร์ใหม่ๆหรือสิ่งที่เปลียนแปลง สิ่งแตกจากที่ฉันไปมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากเดินตามแนวชาวยหาด นั้งดูพระอาทิตย์ตก นอนอาบแดด และเดียวนี้ได้มีโรงแรมและรีสอร์เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวจึงเลือกไร่เลย์เป็นที่ปลายทางที่เขามาพักผ่อนและได้อยู่กะธรรมชาติจริง ถึงแม้นเมื่อก่อนจะมีผลกระทบจากสึนามิมาก็ตาม แต่ ณ ปัจจุบันสึนามิทำให้ท่องทะเลอันดามันสวยงามขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนให้เขามาเที่ยได้มากขึ้น
ทำไมฉันมาที่นี้หลายๆครั้งและสิ่งที่ฉันชอบที่นั้น: เรื่องนี้ถ้าได้เล่ากันยาวแน่น ในครังแรกที่ผมได้มาที่นี้เมื่อ15 ปีที่ผ่านมา. ผมได้ไปพักที่ รายาวดี รีสอร์ท ความคิดผมคิดว่าหาดที่ผมไปพักเหมือกับหาดในภาพยนต์เช่นนี้นั้นเป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปที่นั้น
ไร่เลย์ ไม่เคยเปลียนแปลงสิ่งเปลียนมีแต่ที่พัก. รีสอร์ทมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเงื่อนไขของการจำกัดจำนวนบังกะโล. โชคดีที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับสถานที่ท่องเที่ยว จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวของไร่เลย์เขา ถ้และชายหาด. กิจกรรมที่น่าสนใจเมื่อท่านไปเที่ยวที่ไร่เลย์ เช่น การเล่นวอลเลย์บอบชายหาด ปีนหน้าผา ปีนเขา ฯลฯ. ตระกูลที่รอบรู้เรื่องไร่เลย์มากที่สุดและเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ไร่เลย์ คือตระกูลหง้าฝา และ ตระกูลขยันการทั้งสองรู้จักกันดี ใน อ่าวนาง และ ไร่เลย์. อย่างไรก็ตามเราได้กล่าวขอบคุณพวกภายใต้คลับท่องถิ่น " รัก ไร่เลย" หรือ " คนรักไร่เลย์" หมายถึงกลุ่มคนพวกนี้ยังคงอนุรักษ์ รักษาผาหิน หาด และสิ่งแวดล้อมของไร่เลย์ต่อไป .ในช่วงปลายเดือน เม.ย จะมีจัดการแข่งขันกานปีนหน้าผาประจำปีทุกปี
ปีนหน้าผา
ไร่เลย์มีจุดเด่นที่กิจกรรมการปีนหน้าผา. โดยภาพนี้เป็นการฝึกการปีนหน้าผาจำลอง. ในไร่เลย์มีผาหินปูนมากมายเหมือนแทบดินแดนตะวันตกที่มีผาหินปูมากมาย. ฉันจึงอยากแนะนำให้ลองมาปีนหน้าผาที่ไร่เลยดู ....แผนที่ไร่เลย์
การปีนผาสำหลับผู้ที่หัดปีใหม่ๆควน ไปลองฝึกที่ อ่าวต้นไทร และ หาดไรเลย์
----------------------------------------------
จุดชมวิวของไร่เลย์ ทั้งตะวันตกและตะวันออก
สิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อไปที่ไร่เลย์คือการเก็บภาพสวยๆกลับมาอย่าฉัน. เมื่อพระอาทิตย์จะตกแสงแดดสะท้อนเงาจากหินลงไปที่อ่าว ต้นมะพร้าวเรียงติดกันเป็นแถว เรือประมงแยกย้ายอันออกทะเล. ภาพนั้นเหมือสวรรคของผม
ภาพข้างซ้ายไร่เลย์ตะวันตก ทางด้านขวาตือไร่เลย์ตะวันออกส่วนข้างหลังคือหาดพระนางคือพนังคุณสามารถเดินผ่านทั้ง3หาดได้สบาย(ถ่ายภาพที่บ้านตะเกียงรีสอร์ท)
บึงหรือหนองน้ำ
อีกที่ที่ดึงดูกสำหลับคนที่รักการผจญภัย คุณต้องเดินไต่ขึ้นไต่ลง บางที่ท่างก็ชันเกินไปคุณต้องกระโดด เมื่อคุณมาถึงที่คุณจะพบกับทะเลสาบ ลากูนที่สวยงาม และที่นั้นยังเป็นจุดปีนผาอีกจุดหนึ่งที่หน้าสนใจ
----------------------------------------------
ถ้ำ หาด พระนาง
จากประสบการณ์หาดพระนางเป็นหาดสวยงามหาดทรายขาว มีคใส่ชุดว่ายน้ำนอนอาบแดด มาการสนุกกับกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ ถ้ำหาดพระนางเป็นถ้ำที่มีนิทานท่องถิ่น(ฉันไม่สามารถจำเรื่องราวได้) การเดินทางไปหาดพระนาง คุณสามารถเดินทาง จากหาดไร่เลย์ประมาณ15 นาที
ถ้ำพระนาง
Diamond Cave Resort และ Nopparatthara ตั้งอยู่บนเกาะพีพี และอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นเส่นทางที่ให้นักท่องเที่ยวเดินชมถ้ำใช้เวลาในการชมประมาณ 10 - 15นาทีถ้าคุณมาไร่เลย์อย่าพลาดที่คุณจะลองมาสัมผัสที่ถ้ำนี้ดู ถึงแม้นมันจะหายากไปหน่อย
ไร่เลย์ ตะวันตก
ไร่เลย์ตะวันตกเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ การอาบแดดว่ายน้ำ เล่นวอลเลย์บอลชายหาด ฯลฯ. นักท่องเที่ยวที่ต้องไปเที่ยวเกาะพีพี ทุกวันจะมีเรือจากอ่าวนางออกเวลา 9:00 น.เรือจะจอดรับนักท่องเที่ยวที่อ่าวนางประมาณ 10นาที.
รีสอร์ท ที่แนะนำ เมื่อคุณไปที่ยวที่ไร่เลย์Railay Village, Railay Bay, Sand Sea Resort.
ไร่เลย์ ตะวันออก
เป็นหาดที่ไม่เหมาะกับการว่ายน้ำเพราะเป็นป่าโกงกาง. มีเพียงพับเล็กๆ และจุดปีนผาและร้านอาหาร
มีสามรีสอร์ทที่แนะนำในบริเวนนี้
Sunrise Tropical Resort, พึ้งเปิดใหม่ปลายปี2002.
Ya Ya Resort, อยู่บริเวณป่าโกงกางต้นมะพร้าวและมีต้นไม้มาก
Diamond Private Resort, มีระเบียงส่วนตัว รีสอร์ทอยู่บนเขาเล็กน้อย มีสระว่ายน้ำ คุณจะสนุกกับการชมวิวและดื่มด่ำกับธรรมชาติ
Diamond Cave Resort, รีสอร์อยู่บนเขาเล็กน้อย มีร้านอาหาร อินเทอร์เน็ต มีสระว่ายน้ำ และมีทัวร์แพ็คเกจจาทางรีสอร์ทเป็นจำนวนมาก
----------------------------------------------
หาดต้นไทร
การเดินทางมาอาจไม่สะดวกสะบายและไกลจากแหล่งท่องเที่ยว แต่ไม่ไกลจากร้านอาหาร เรือ ATM อินเตอร์เน็ต ฯลฯคุณสามมาเดินทางจาหาดไร่เลย์มาหาดต้นไทรได้
Tonsai Bay; ติดหาด มีปีนผา เป็นรีสอร์ทประเภทบังกะโล ไม่มีสระว่ายน้ำแม่มีจำหนดการจะสร้างเร็วๆนี้
----------------------------------------------
หาดต้นไทรเป็นที่นักท่องเที่ยวนิยามมาปีนหน้าผา เล่นวอลเลย์บอล สามารถมองเห็นเกาะต่างๆได้ไม่ไกลเช่าเกาะไก เกาะทับ เกาะปอดะเป็นเกาะที่ Unseen Thailand.
ไร่เลย์เป็นที่เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติ และหลีกหนีจากความเหนื อยล่าจากการทำงานความวุ่นวายของตัวเมือใหญ่ๆ. ฉันนั้งดูพระอาทิตย์ยามเย็นแสงทอดผาหินสทอนเป็นเงาลงหาดเป็นภาพที่ดึงดูดให้ฉันอยากกลับไปอีก
อัมพวา
อัมพวา ด้วยเหตุที่อำเภออัมพวาเป็นสถานที่สำคัญ และเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์อยู่มาก สมัยก่อนเรียกกันว่า "แขวงบางช้าง" เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่มีความเจริญทั้งในด้านการเกษตร และการพาณิชย์ มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น แขวงบางช้างมีตลาดค้าขายเรียกว่า "ตลาดบางช้าง" นายตลาดเป็นหญิงชื่อน้อย มีบรรดาศักดิ์เป็นท้าวแก้วผลึก นายตลาดผู้นี้อยู่ในตระกูลเศรษฐีบางช้างซึ่งต่อมาเป็นราชนิกุล "ณ บางช้าง"
เมื่อ พ.ศ. 2303 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ โปรดเกล้าฯ ให้นายทองด้วง (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี ซึ่งเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ต่อมาหลวงยกกระบัตรได้แต่งงานกับคุณนาคบุตรีเศรษฐีบางช้าง และได้ย้ายบ้านไปอยู่หลังวัดจุฬามณี ต่อมาเมื่อไฟไหม้บ้านจึงได้ย้ายไปอยู่ที่หลังวัดอัมพวันเจติยาราม อีก 3 ปี
เมื่อ พ.ศ. 2310 พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงยกกระบัตรจึงตัดสินใจอพยพครอบครัวเข้าไปอยู่ในป่าลึก ในระหว่างนี้ ท่านแก้ว (สมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์) พี่สาวของหลวงยกกระบัตร ได้คลอดบุตรหญิงคนหนึ่งตั้งชื่อว่า "บุญรอด" (ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 2) ครั้งเมื่อพระยาวชิรปราการได้รวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปหมดแล้ว ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าตากสิน หลวงยกกระบัตรจึงได้อพยพครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิมในช่วงนี้เอง คุณนาคก็ได้คลอดบุตรคนที่ 4 เป็นชาย ชื่อฉิม (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) หลังจากนั้น หลวงยกกระบัตร ก็ได้กลับเข้ารับราชการอยู่กับพระเจ้าตากสิน ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา จนกระทั่งเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต้นราชวงศ์จักรี คุณนาค ภรรยาก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ คุณสั้น มารดาคุณนาค ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระรูปศิริโสภาคมหานาคนารี
แต่เนื่องจากสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ทรงเป็นคนพื้นบ้านบางช้างมาก่อน จึงมีพระประยูรญาติที่สนิท ประกอบอาชีพทำสวนต่าง ๆ อยู่ที่บางช้างนี้มาก เมื่อได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระอมรินทรามาตย์จึงนับเป็นราชินิกุล บางช้าง พระประยูรญาติจึงเกี่ยวดองเป็นวงศ์บางช้างด้วย และสมเด็จพระอมรินทร์ฯ มักทรงเสด็จเยี่ยมพระประยูรญาติเสมอ จึงมีคำเรียกว่า "สวนนอก" คือ สวนบ้านนอก ที่เป็นของวงศ์ราชินิกุลบางช้าง ส่วนบางกอก ซึ่งเป็นส่วนของเจ้านายในราชวงศ์ก็เรียกว่า "สวนใน" มีคำกล่าวว่า "บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน" จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 จึงยกเลิกไป
คำขวัญจังหวัดสมุทรสงคราม: เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่ มีอุทยาน ร 2 แม่กลองไหลผ่าน นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลม
อัมพวา ด้วยเหตุที่อำเภออัมพวาเป็นสถานที่สำคัญ และเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์อยู่มาก สมัยก่อนเรียกกันว่า "แขวงบางช้าง" เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่มีความเจริญทั้งในด้านการเกษตร และการพาณิชย์ มีหลักฐานเชื่อได้ว่า ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น แขวงบางช้างมีตลาดค้าขายเรียกว่า "ตลาดบางช้าง" นายตลาดเป็นหญิงชื่อน้อย มีบรรดาศักดิ์เป็นท้าวแก้วผลึก นายตลาดผู้นี้อยู่ในตระกูลเศรษฐีบางช้างซึ่งต่อมาเป็นราชนิกุล "ณ บางช้าง"
เมื่อ พ.ศ. 2303 ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ โปรดเกล้าฯ ให้นายทองด้วง (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี ซึ่งเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ต่อมาหลวงยกกระบัตรได้แต่งงานกับคุณนาคบุตรีเศรษฐีบางช้าง และได้ย้ายบ้านไปอยู่หลังวัดจุฬามณี ต่อมาเมื่อไฟไหม้บ้านจึงได้ย้ายไปอยู่ที่หลังวัดอัมพวันเจติยาราม อีก 3 ปี
เมื่อ พ.ศ. 2310 พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงยกกระบัตรจึงตัดสินใจอพยพครอบครัวเข้าไปอยู่ในป่าลึก ในระหว่างนี้ ท่านแก้ว (สมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์) พี่สาวของหลวงยกกระบัตร ได้คลอดบุตรหญิงคนหนึ่งตั้งชื่อว่า "บุญรอด" (ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 2) ครั้งเมื่อพระยาวชิรปราการได้รวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปหมดแล้ว ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าตากสิน หลวงยกกระบัตรจึงได้อพยพครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิมในช่วงนี้เอง คุณนาคก็ได้คลอดบุตรคนที่ 4 เป็นชาย ชื่อฉิม (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) หลังจากนั้น หลวงยกกระบัตร ก็ได้กลับเข้ารับราชการอยู่กับพระเจ้าตากสิน ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา จนกระทั่งเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต้นราชวงศ์จักรี คุณนาค ภรรยาก็ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ คุณสั้น มารดาคุณนาค ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระรูปศิริโสภาคมหานาคนารี
แต่เนื่องจากสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ทรงเป็นคนพื้นบ้านบางช้างมาก่อน จึงมีพระประยูรญาติที่สนิท ประกอบอาชีพทำสวนต่าง ๆ อยู่ที่บางช้างนี้มาก เมื่อได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระอมรินทรามาตย์จึงนับเป็นราชินิกุล บางช้าง พระประยูรญาติจึงเกี่ยวดองเป็นวงศ์บางช้างด้วย และสมเด็จพระอมรินทร์ฯ มักทรงเสด็จเยี่ยมพระประยูรญาติเสมอ จึงมีคำเรียกว่า "สวนนอก" คือ สวนบ้านนอก ที่เป็นของวงศ์ราชินิกุลบางช้าง ส่วนบางกอก ซึ่งเป็นส่วนของเจ้านายในราชวงศ์ก็เรียกว่า "สวนใน" มีคำกล่าวว่า "บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน" จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 จึงยกเลิกไป
คำขวัญจังหวัดสมุทรสงคราม: เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่ มีอุทยาน ร 2 แม่กลองไหลผ่าน นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลม
ประวัติตลาดสามชุก
“สามชุก เป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดย ในอดีตสามชุกคือแหล่งที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติทั้งไทย จีน มอญ ฯลฯ มามีสัมพันธ์ต่อกันในลักษณะของการแลกเปลี่ยน และซื้อขายสินค้า จนพัฒนาไปสู่ การลงหลักปักฐาน สร้างเมืองที่มั่นคงขึ้นมาตาม ประวัติของเมืองสามชุก กล่าวไว้ว่า ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เดิมชื่ออำเภอ “นางบวช” ตั้งอยู่บริเวณ ตำบลนางบวช โดยมีขุนพรมสภา (บุญรอด) เป็นนายอำเภอคนแรก ซึ่งยังมีภาพถ่ายปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 2457 ต้นรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายอำเภอมาตั้งที่บ้าน “สำเพ็ง” ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญในสมัยนั้น จนกระทั่งปี 2481 สมัยรัชกาลที่ 8 ได้เปลี่ยนชื่อจาก “อำเภอนางบวช” มาเป็น “อำเภอสามชุก” และย้ายมาตั้ง อยู่ริมลำน้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ซึ่งแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านคลอง มะขามเฒ่า
แต่เดิมบริเวณที่ตั้งอำเภอสามชุกเรียกว่า “ท่ายาง” มีชาวบ้านนำของป่าจากทิศตะวันตกมาค้าขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ บ้างก็มาจากทางเหนือ บ้างก็มาจากทางใต้ เป็น 3 สาย จึงเรียกบริเวณที่ค้าขายนี้ว่า “ สามแพร่ง “ ต่อมาได้เพี้ยน เป็น สามเพ็ง และสำเพ็งในที่สุด ดังปรากฎหลักฐานกล่าวไว้ในนิทานพื้นบ้านย่านสุพรรณมีเรื่องกล่าวต่อไปว่า ในระหว่างที่คนมารอขายสินค้าก็ได้ตัดไม้ไผ่มาสานเป็นภาชนะสำหรับใส่ของขาย เรียกว่า “กระชุก” ชาวบ้านจึงเรียกว่า “สามชุก” มาถึงปัจจุบัน
อำเภอสามชุกเดิมมีพื้นที่ 774.9 ตารางกิโลเมตร ต่อมาในปี 2528 ได้มีการตั้งอำเภอหนองหญ้าไซ จึงแบ่งบางส่วนออกไป ยังคงเหลือเพียง 362 ตารางกิโลเมตร
ตลาดสามชุก เป็นตลาดสำคัญในการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญในอดีต ตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสุพรรณบุรี แต่เมื่อถนนคือ เส้นทางจราจรทางบกที่เข้ามาแทนที่การเดินทางทางน้ำ ทำให้คนหันหลังให้กับแม่น้ำท่าจีน ความสำคัญของตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าริมน้ำเริ่มลดลง บรรยากาศการค้า ขายในตลาดสามชุกเริ่มซบเซา และเมื่อต้องแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และตลาดนัดภายนอก ทำให้ร้านค้าภายในตลาดต้องหาทางปรับตัว และเมื่อราชพัสดุ เจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านเช่าที่ดินมายาวนาน ดำริจะรื้ออาคารตลาดเก่า สร้างตลาดใหม่ จึงทำให้ชาวบ้านพ่อค้าที่อยู่ในตลาดสามชุก ครูอาจารย์ที่เห็นคุณค่าตลาดเก่า รวมตัวเป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ระดมความคิด หาทางอนุรักษ์ตลาดและที่อยู่ของตนไว้ และหาทางฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เป็นที่มาของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใช้การท่องเที่ยวศึกษาวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม ประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นเครื่องมือการพัฒนาอาคารไม้เก่าแก่ ในตลาดสามชุก ที่ก่อสร้างเป็นแนวตั้งฉากกับแม่น้ำท่าจีน เป็นสิ่งบอกให้รู้ว่าเป็นลักษณะของตลาดจีนโบราณ เป็นชุมชนชาวไทย-จีน ที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน ลวดลายฉลุไม้ที่เรียกว่าลายขนมปังขิง ซึ่งเท่าที่พบในตลาดนี้มีถึง 19 ลาย คือ ศิลปะตกแต่งอาคารไม้โบราณ ที่หาดูได้ยากแล้วในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ก็ย่อมสูญหายไปเช่นเดียวกับตลาดโบราณอื่นๆนอก จากสถาปัตยกรรม อาคารไม้โบราณที่พบเห็นได้ตลอดแนวทางเดิน 2 ข้างทางเดินในตลาด วิถีชีวิตบรรยากาศภายในตลาดการค้าขายที่ยังคงรักษาวิถีแบบดั้งเดิมเช่นใน อดีต และบรรยากาศน้ำใจอัธยาศัยไมตรีของแม่ค้า ข้าวของเครื่องใช้ ขนมอาหารที่นำมาตั้งขายในตลาด เป็นสิ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่จำลองมาเพื่อให้ผู้ชมได้ดูชั่วครั้งชั่วคราว แต่เหล่านี้คือ วัฒนธรรมที่สืบเนื่องจากอดีต บ่มเพาะมาเป็น 100 ปี
นักท่องเที่ยวจะสามารถสัมผัสได้ ไม่รู้เบื่อ อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มท้องอย่างไม่รู้ตัว และทำให้ตลาดสามชุก แห่งนี้ได้รับขนานนามว่า
“สามชุก เป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดย ในอดีตสามชุกคือแหล่งที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติทั้งไทย จีน มอญ ฯลฯ มามีสัมพันธ์ต่อกันในลักษณะของการแลกเปลี่ยน และซื้อขายสินค้า จนพัฒนาไปสู่ การลงหลักปักฐาน สร้างเมืองที่มั่นคงขึ้นมาตาม ประวัติของเมืองสามชุก กล่าวไว้ว่า ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เดิมชื่ออำเภอ “นางบวช” ตั้งอยู่บริเวณ ตำบลนางบวช โดยมีขุนพรมสภา (บุญรอด) เป็นนายอำเภอคนแรก ซึ่งยังมีภาพถ่ายปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 2457 ต้นรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายอำเภอมาตั้งที่บ้าน “สำเพ็ง” ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญในสมัยนั้น จนกระทั่งปี 2481 สมัยรัชกาลที่ 8 ได้เปลี่ยนชื่อจาก “อำเภอนางบวช” มาเป็น “อำเภอสามชุก” และย้ายมาตั้ง อยู่ริมลำน้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ซึ่งแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านคลอง มะขามเฒ่า
แต่เดิมบริเวณที่ตั้งอำเภอสามชุกเรียกว่า “ท่ายาง” มีชาวบ้านนำของป่าจากทิศตะวันตกมาค้าขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ บ้างก็มาจากทางเหนือ บ้างก็มาจากทางใต้ เป็น 3 สาย จึงเรียกบริเวณที่ค้าขายนี้ว่า “ สามแพร่ง “ ต่อมาได้เพี้ยน เป็น สามเพ็ง และสำเพ็งในที่สุด ดังปรากฎหลักฐานกล่าวไว้ในนิทานพื้นบ้านย่านสุพรรณมีเรื่องกล่าวต่อไปว่า ในระหว่างที่คนมารอขายสินค้าก็ได้ตัดไม้ไผ่มาสานเป็นภาชนะสำหรับใส่ของขาย เรียกว่า “กระชุก” ชาวบ้านจึงเรียกว่า “สามชุก” มาถึงปัจจุบัน
อำเภอสามชุกเดิมมีพื้นที่ 774.9 ตารางกิโลเมตร ต่อมาในปี 2528 ได้มีการตั้งอำเภอหนองหญ้าไซ จึงแบ่งบางส่วนออกไป ยังคงเหลือเพียง 362 ตารางกิโลเมตร
ตลาดสามชุก เป็นตลาดสำคัญในการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญในอดีต ตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสุพรรณบุรี แต่เมื่อถนนคือ เส้นทางจราจรทางบกที่เข้ามาแทนที่การเดินทางทางน้ำ ทำให้คนหันหลังให้กับแม่น้ำท่าจีน ความสำคัญของตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าริมน้ำเริ่มลดลง บรรยากาศการค้า ขายในตลาดสามชุกเริ่มซบเซา และเมื่อต้องแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และตลาดนัดภายนอก ทำให้ร้านค้าภายในตลาดต้องหาทางปรับตัว และเมื่อราชพัสดุ เจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านเช่าที่ดินมายาวนาน ดำริจะรื้ออาคารตลาดเก่า สร้างตลาดใหม่ จึงทำให้ชาวบ้านพ่อค้าที่อยู่ในตลาดสามชุก ครูอาจารย์ที่เห็นคุณค่าตลาดเก่า รวมตัวเป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ระดมความคิด หาทางอนุรักษ์ตลาดและที่อยู่ของตนไว้ และหาทางฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เป็นที่มาของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใช้การท่องเที่ยวศึกษาวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม ประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นเครื่องมือการพัฒนาอาคารไม้เก่าแก่ ในตลาดสามชุก ที่ก่อสร้างเป็นแนวตั้งฉากกับแม่น้ำท่าจีน เป็นสิ่งบอกให้รู้ว่าเป็นลักษณะของตลาดจีนโบราณ เป็นชุมชนชาวไทย-จีน ที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน ลวดลายฉลุไม้ที่เรียกว่าลายขนมปังขิง ซึ่งเท่าที่พบในตลาดนี้มีถึง 19 ลาย คือ ศิลปะตกแต่งอาคารไม้โบราณ ที่หาดูได้ยากแล้วในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ก็ย่อมสูญหายไปเช่นเดียวกับตลาดโบราณอื่นๆนอก จากสถาปัตยกรรม อาคารไม้โบราณที่พบเห็นได้ตลอดแนวทางเดิน 2 ข้างทางเดินในตลาด วิถีชีวิตบรรยากาศภายในตลาดการค้าขายที่ยังคงรักษาวิถีแบบดั้งเดิมเช่นใน อดีต และบรรยากาศน้ำใจอัธยาศัยไมตรีของแม่ค้า ข้าวของเครื่องใช้ ขนมอาหารที่นำมาตั้งขายในตลาด เป็นสิ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่จำลองมาเพื่อให้ผู้ชมได้ดูชั่วครั้งชั่วคราว แต่เหล่านี้คือ วัฒนธรรมที่สืบเนื่องจากอดีต บ่มเพาะมาเป็น 100 ปี
นักท่องเที่ยวจะสามารถสัมผัสได้ ไม่รู้เบื่อ อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มท้องอย่างไม่รู้ตัว และทำให้ตลาดสามชุก แห่งนี้ได้รับขนานนามว่า
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สวนแม่ฟ้า
สวนแม่ฟ้าหลวงอยู่ด้านหน้าพระตำหนักดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ มีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ออกแบบเป็นรูปลายผ้าพื้นเมืองใช้ต้นซัลเวียดอกสีแดง ขาว และม่วงเข้ม สวยสดสะดุดตามาก ตรงกลางมีรูปปั้นต่อเนื่อง ฝีมือปั้นของคุณมีเซียมยิปอินซอย นอกจากจะใช้ไม้ใบไม้ดอกแล้ว ยังใช้ไม้ยืนต้นและซุ้มไม้เลื้อยอีกมากกว่า 70 ชนิด จัดทางเดินไว้เป็นสัดส่วน มีศาลาชมวิวและร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สวนแม่ฟ้าหลวงสร้างโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ค่าเข้าชม คนละ 20 บาท
สวนแม่ฟ้าหลวงอยู่ด้านหน้าพระตำหนักดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ มีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ออกแบบเป็นรูปลายผ้าพื้นเมืองใช้ต้นซัลเวียดอกสีแดง ขาว และม่วงเข้ม สวยสดสะดุดตามาก ตรงกลางมีรูปปั้นต่อเนื่อง ฝีมือปั้นของคุณมีเซียมยิปอินซอย นอกจากจะใช้ไม้ใบไม้ดอกแล้ว ยังใช้ไม้ยืนต้นและซุ้มไม้เลื้อยอีกมากกว่า 70 ชนิด จัดทางเดินไว้เป็นสัดส่วน มีศาลาชมวิวและร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สวนแม่ฟ้าหลวงสร้างโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อถวายสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ค่าเข้าชม คนละ 20 บาท
พระธาตุดอยเวา
พระธาตุดอยเวาตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลแม่สาย บนดอยริมฝั่งแม่น้ำสาย ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนก เป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ. 364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองมาจากพระบรมธาตุดอยตุง
ความรักคืออะไร
ความรัก คืออะไรจากคุณ : ~ll•lvl 3 @ ll•ll~เมื่อวันที่ : 13 ก.ค. 2549เมื่อเราเกิดมีความรักขึ้นมาก็จะถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร บางครั้งก็ตอบง่ายแสนง่ายอย่างมีเหตุผลอย่างมีลำดับขึ้นว่า เริ่มจาก
1.ความพึงพอใจ 2.ความชอบ 3.ความรัก 4.ความหลงความพึงพอใจความรู้สึกดีๆ ในจุดๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆความชอบการมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ ดังนี้1.ชอบที่หน้าตา
2.ชอบที่นิสัย
3.ชอบที่ความสามารถ
4.ชอบที่ฐานะความรักในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่ร เรือ คือ การเรียนรู้ก ไก่ คือ กาลเวลานั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้
1.ความพึงพอใจ
2.ความชอบ
3.ความใกล้ชิด
4.ความผูกพัน
5.ความเข้าใจความหลงความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ
พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ " แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาคเรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจเรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจเรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอเคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"วันนี้เรามีคำตอบให้คุณแล้วล่ะคำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจหากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวงหากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วยหากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วยหากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจหากคนรักของคุณยอมสละเวลา ทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้างหากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า"ถึงหรือยัง""ปลอดภัยดีไหม""เหนื่อยไหม"หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า"โชคดีนะ" "ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า"ขับรถดีๆนะ"หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆความใส่ใจ กับความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่ายิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่กลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกันความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคนเพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????เรื่องลับลับเกี่ยวกับความรักมีความลับเกี่ยวกับความรักอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรายังต้องค้นหากันต่อไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเข้าใจยิ่งค้นหาก็จะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันมากขึ้นความรักเริ่มจากความคิดเพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางทีความรักก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างที่เคยเป็นต้องปรับปรุงในสิ่งที่เราเคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคนความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธาคุณไม่สามารถรักใครได้หรอกถ้าคุณไม่รู้สึกเชื่อมั่นเป็นอันดับแรก และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น นั่นก็คือตัวคุณเองความรักคือการให้ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรักสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ รู้จักให้ด้วยยิ่งให้คุณก็จะยิ่งได้รับ สูตรลับของความสุข และทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอาไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณ ทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่าในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่อยากได้รักแท้ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้ซะก่อนการจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่าต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันรึเปล่าหากจะรักใครอย่างจริงใจคุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็นมิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุกๆ วันนั่นเองการสัมผัสกันจะช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้นเคยรู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครมาโอบใหล่หรือกอดคุณการสัมผัสกันจึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลังช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วยน่าแปลกที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาลงอย่างได้ผลอยากรักต้องรู้จักปลดปล่อยถ้าคุณรักใครจงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้างคุณเองก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย ถ้าหากมีใครมาล่ามโซ่คุณ จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดีมาก่อนปลดปล่อยความกลัวภายในใจให้ความยุติธรรม ลดทิฐิ และเงื่อนไขต่างๆซะบ้าง บอกตัวเองว่า แต่นี้ไปเราจะทิ้งความกลัวทั้งหมดและอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวเราอีก นับจากวันนี้ไปเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะทีชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้าง และซื่อสัตย์ต่อกันคุยกับคนที่คุณรัก อย่ากลัวที่จะพูดคำวิเศษ 3 คำว่า "ฉันรักเธอ" อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป คุณควรจะบอกรักก่อนจะจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางทีคุณอาจจะได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็ได้ใครจะไปรู้แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกันถ้าคุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนนึงก็จะเป็นคนระแวง กังวลและหวาดหวั่น ส่วนอีกคนก็จะรู้สึกอึดอัดใจคุณไม่อาจรักใครจริงๆ ได้ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาอย่างแท้จริง
ความรัก คืออะไรจากคุณ : ~ll•lvl 3 @ ll•ll~เมื่อวันที่ : 13 ก.ค. 2549เมื่อเราเกิดมีความรักขึ้นมาก็จะถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร บางครั้งก็ตอบง่ายแสนง่ายอย่างมีเหตุผลอย่างมีลำดับขึ้นว่า เริ่มจาก
1.ความพึงพอใจ 2.ความชอบ 3.ความรัก 4.ความหลงความพึงพอใจความรู้สึกดีๆ ในจุดๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆความชอบการมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ ดังนี้1.ชอบที่หน้าตา
2.ชอบที่นิสัย
3.ชอบที่ความสามารถ
4.ชอบที่ฐานะความรักในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่ร เรือ คือ การเรียนรู้ก ไก่ คือ กาลเวลานั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้
1.ความพึงพอใจ
2.ความชอบ
3.ความใกล้ชิด
4.ความผูกพัน
5.ความเข้าใจความหลงความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ
พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ " แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาคเรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจเรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจเรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอเคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"วันนี้เรามีคำตอบให้คุณแล้วล่ะคำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจหากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวงหากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วยหากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วยหากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจหากคนรักของคุณยอมสละเวลา ทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้างหากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า"ถึงหรือยัง""ปลอดภัยดีไหม""เหนื่อยไหม"หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า"โชคดีนะ" "ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า"ขับรถดีๆนะ"หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆความใส่ใจ กับความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่ายิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่กลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกันความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคนเพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????เรื่องลับลับเกี่ยวกับความรักมีความลับเกี่ยวกับความรักอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรายังต้องค้นหากันต่อไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเข้าใจยิ่งค้นหาก็จะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันมากขึ้นความรักเริ่มจากความคิดเพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางทีความรักก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างที่เคยเป็นต้องปรับปรุงในสิ่งที่เราเคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคนความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธาคุณไม่สามารถรักใครได้หรอกถ้าคุณไม่รู้สึกเชื่อมั่นเป็นอันดับแรก และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น นั่นก็คือตัวคุณเองความรักคือการให้ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรักสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ รู้จักให้ด้วยยิ่งให้คุณก็จะยิ่งได้รับ สูตรลับของความสุข และทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอาไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณ ทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่าในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่อยากได้รักแท้ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้ซะก่อนการจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่าต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันรึเปล่าหากจะรักใครอย่างจริงใจคุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็นมิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุกๆ วันนั่นเองการสัมผัสกันจะช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้นเคยรู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครมาโอบใหล่หรือกอดคุณการสัมผัสกันจึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลังช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วยน่าแปลกที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาลงอย่างได้ผลอยากรักต้องรู้จักปลดปล่อยถ้าคุณรักใครจงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้างคุณเองก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย ถ้าหากมีใครมาล่ามโซ่คุณ จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดีมาก่อนปลดปล่อยความกลัวภายในใจให้ความยุติธรรม ลดทิฐิ และเงื่อนไขต่างๆซะบ้าง บอกตัวเองว่า แต่นี้ไปเราจะทิ้งความกลัวทั้งหมดและอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวเราอีก นับจากวันนี้ไปเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะทีชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้าง และซื่อสัตย์ต่อกันคุยกับคนที่คุณรัก อย่ากลัวที่จะพูดคำวิเศษ 3 คำว่า "ฉันรักเธอ" อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป คุณควรจะบอกรักก่อนจะจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางทีคุณอาจจะได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็ได้ใครจะไปรู้แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกันถ้าคุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนนึงก็จะเป็นคนระแวง กังวลและหวาดหวั่น ส่วนอีกคนก็จะรู้สึกอึดอัดใจคุณไม่อาจรักใครจริงๆ ได้ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาอย่างแท้จริง
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
โทษของการกินไข่ดิบ
ถ้าจะพูดถึงไข่แล้ว คงจะไม่ต้องบอกหรอกว่ามีประโยชน์มากขนาดไหน เพราะทุกคนคงจะทราบดีอยู่แล้ว
นอกจากสารอาหารสารพัดชนิดแล้ว จากการวิเคราะห์แล้วในไข่ไก่หนึ่งฟองนั้น จะมีโปรตีนและไขมันที่ให้ความร้อนแก่ร่างกายได้ประมาณ 70-90 แคลอรี นั่นก็จะหมายความว่า “ ถ้าท่านกินไข่ 1 ฟอง เท่ากับท่านดื่มนม 30 ซีซี หรือเท่ากับท่านกินเนื้อสัตว์ 42 กรัม ” แต่การที่ท่านจะได้ประโยชน์ดังกล่าว ท่านจะต้องทำให้สุกเสียก่อนเพราะถ้าเป็นได้ดิบละก็นอกจากจะไม่ได้คุณค่าทางอาหารแล้ว มันยังให้โทษหลายอย่างอีกด้วย เพราะไข่ดิบมีความลื่นสูงมาก จึงมีผลทำให้มันผ่านลำไล้เล็กไปอย่างเร็วจนลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมได้ทัน และเมือกของไข่ขาวยังไปขัดขว้างการทำงานของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารอีกด้วย นอกจากนี้ไข่ดิบ ยังมีสารอะวิดินซึ่งหากบริโภคกันไปนานๆจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ผิวหนังอักเสบ และยังอาจมีเชื้อซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาท ถ้ามีอาการเรื้อรังอาจทำให้เป็นตับอักเสบ เยื่อบุสมองอักเสบอีกด้วย ซึ่งนับเป็นโรคที่น่ากลัวทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ก่อนกินไข่แดงควรทำให้สุกทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นไข่ไก่ก็ลวกเพียงไข่ขาวสุก ก็จะไม่เกิดโทษ
ถ้าจะพูดถึงไข่แล้ว คงจะไม่ต้องบอกหรอกว่ามีประโยชน์มากขนาดไหน เพราะทุกคนคงจะทราบดีอยู่แล้ว
นอกจากสารอาหารสารพัดชนิดแล้ว จากการวิเคราะห์แล้วในไข่ไก่หนึ่งฟองนั้น จะมีโปรตีนและไขมันที่ให้ความร้อนแก่ร่างกายได้ประมาณ 70-90 แคลอรี นั่นก็จะหมายความว่า “ ถ้าท่านกินไข่ 1 ฟอง เท่ากับท่านดื่มนม 30 ซีซี หรือเท่ากับท่านกินเนื้อสัตว์ 42 กรัม ” แต่การที่ท่านจะได้ประโยชน์ดังกล่าว ท่านจะต้องทำให้สุกเสียก่อนเพราะถ้าเป็นได้ดิบละก็นอกจากจะไม่ได้คุณค่าทางอาหารแล้ว มันยังให้โทษหลายอย่างอีกด้วย เพราะไข่ดิบมีความลื่นสูงมาก จึงมีผลทำให้มันผ่านลำไล้เล็กไปอย่างเร็วจนลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมได้ทัน และเมือกของไข่ขาวยังไปขัดขว้างการทำงานของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารอีกด้วย นอกจากนี้ไข่ดิบ ยังมีสารอะวิดินซึ่งหากบริโภคกันไปนานๆจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ผิวหนังอักเสบ และยังอาจมีเชื้อซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบประสาท ถ้ามีอาการเรื้อรังอาจทำให้เป็นตับอักเสบ เยื่อบุสมองอักเสบอีกด้วย ซึ่งนับเป็นโรคที่น่ากลัวทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ก่อนกินไข่แดงควรทำให้สุกทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นไข่ไก่ก็ลวกเพียงไข่ขาวสุก ก็จะไม่เกิดโทษ
อาหารรสเค็ม
โซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด- ด่างของเลือด เป็นต้น แม้ว่าร่างกายจะผลิตเกลือเพียงน้อยนิด แต่เราก็ไม่เคยขาดเกลือ เพราะร่างกายมีระบบที่สามารถเก็บเกลือไว้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังปรับตัวต่อปริมาณเกลือที่ลดลงได้ อีกทั้ง เกลือ ยังมีอยู่ในผัก ผลไม้ เครื่องปรุงรสต่างๆ อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยว อีกด้วย
การกินเค็มแต่พอดีจะช่วยขับร้อน แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน บำบัดอาการท้องเฟ้อ ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน ทำความสะอาดแผล ช่วยเรื่องอาการขัดเบาของร่างกาย เป็นต้น แหล่งที่มาของรสเค็ม โดยมากมาจาก เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ซอส และสาหร่ายทะเลบางชนิด องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณการรับเกลือสูงสุดของร่างกายไว้ที่วันละประมาณ 6,000 มิลลิกรัม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันคนไทยกินเกลือกันโดยเฉลี่ยถึงวันละ 7,000 มิลลิกรัม (เกือบ 2 ช้อนชาต่อวัน) เลยทีเดียว กินเค็มกันมากขนาดนี้ เรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีโรคอะไรตามมาบ้าง
ร้อนใน กระหายน้ำ การกินเค็มจัดจะทำให้ระบบการดูดซึมอาหารในร่างกายทำงานหนัก ร่างกายที่ได้รับโซเดียมสูงกว่าปกติจะพยายามจะขับเกลือทิ้งออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ จึงทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ร้อนใน รู้สึกแสบคอ ยิ่งกินเค็มมากๆอาจทำให้อาเจียน ท้องเดิน หรือเกิดอาการบวมน้ำได้
ภาวะขาดน้ำ สำหรับเด็กและทารกซึ่งไตยังไม่สามารถขับถ่ายโซเดียมส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่ การกินอาหารรสเค็มมากเกินไปอาจยิ่งเพิ่มภาวะเสี่ยงต่อการมีโซเดียมสะสมในร่างกาย และอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) อย่างรุนแรงได้
ความดันโลหิตสูง แพทย์และนักโภชนาการเชื่อว่ารสเค็มจะทำให้ร่างกายมีการเก็บกักน้ำเพื่อการสร้างความสมดุล จึงทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้า การคั่งของโซเดียมในร่างกายจึงทำให้ความดันโลหิตสูง ตามมา
นอกจากนั้น การกินอาหารรสเค็มยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกับไตที่ต้องรีบขับโซเดียมออกทางปัสสาวะอย่างรวดเร็ว คนกินเค็มจึงเสียงต่อการเป็นโรคหัวใจ และภาวะไตวายมากกว่าคนกินอาหารรสชาติปกติ
ความเค็มอาจมีประโยชน์มากในการถนอมอาหาร แต่คงไม่ดีนักถ้าจะปล่อยให้มันไปทำให้กระบวนการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกายของเราแปรปรวน กินเค็มแต่พอดี ดีกว่านะครับ
โซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด- ด่างของเลือด เป็นต้น แม้ว่าร่างกายจะผลิตเกลือเพียงน้อยนิด แต่เราก็ไม่เคยขาดเกลือ เพราะร่างกายมีระบบที่สามารถเก็บเกลือไว้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังปรับตัวต่อปริมาณเกลือที่ลดลงได้ อีกทั้ง เกลือ ยังมีอยู่ในผัก ผลไม้ เครื่องปรุงรสต่างๆ อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยว อีกด้วย
การกินเค็มแต่พอดีจะช่วยขับร้อน แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน บำบัดอาการท้องเฟ้อ ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน ทำความสะอาดแผล ช่วยเรื่องอาการขัดเบาของร่างกาย เป็นต้น แหล่งที่มาของรสเค็ม โดยมากมาจาก เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ซอส และสาหร่ายทะเลบางชนิด องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณการรับเกลือสูงสุดของร่างกายไว้ที่วันละประมาณ 6,000 มิลลิกรัม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจุบันคนไทยกินเกลือกันโดยเฉลี่ยถึงวันละ 7,000 มิลลิกรัม (เกือบ 2 ช้อนชาต่อวัน) เลยทีเดียว กินเค็มกันมากขนาดนี้ เรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีโรคอะไรตามมาบ้าง
ร้อนใน กระหายน้ำ การกินเค็มจัดจะทำให้ระบบการดูดซึมอาหารในร่างกายทำงานหนัก ร่างกายที่ได้รับโซเดียมสูงกว่าปกติจะพยายามจะขับเกลือทิ้งออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ จึงทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ร้อนใน รู้สึกแสบคอ ยิ่งกินเค็มมากๆอาจทำให้อาเจียน ท้องเดิน หรือเกิดอาการบวมน้ำได้
ภาวะขาดน้ำ สำหรับเด็กและทารกซึ่งไตยังไม่สามารถขับถ่ายโซเดียมส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่ การกินอาหารรสเค็มมากเกินไปอาจยิ่งเพิ่มภาวะเสี่ยงต่อการมีโซเดียมสะสมในร่างกาย และอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) อย่างรุนแรงได้
ความดันโลหิตสูง แพทย์และนักโภชนาการเชื่อว่ารสเค็มจะทำให้ร่างกายมีการเก็บกักน้ำเพื่อการสร้างความสมดุล จึงทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้า การคั่งของโซเดียมในร่างกายจึงทำให้ความดันโลหิตสูง ตามมา
นอกจากนั้น การกินอาหารรสเค็มยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เช่นเดียวกับไตที่ต้องรีบขับโซเดียมออกทางปัสสาวะอย่างรวดเร็ว คนกินเค็มจึงเสียงต่อการเป็นโรคหัวใจ และภาวะไตวายมากกว่าคนกินอาหารรสชาติปกติ
ความเค็มอาจมีประโยชน์มากในการถนอมอาหาร แต่คงไม่ดีนักถ้าจะปล่อยให้มันไปทำให้กระบวนการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกายของเราแปรปรวน กินเค็มแต่พอดี ดีกว่านะครับ
อาหารรสหวาน
เมื่อพูดถึงที่มาของความหวาน น้ำตาลมักเป็นอันดับต้นๆที่เรานึกถึง ทั้งนี้น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานต่อร่างกายในทันทีที่กินเข้าไป ซึ่งส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยฮอร์โมนชื่ออินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีหน้าที่ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และมีฮอร์โมนชื่อกลูคากอน(Glucagons) คอยทำหน้าที่เพิ่มระดับกลูโคส ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ อาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้
นอกจากนั้นรสหวานช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาอาการปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายรู้สึกชุ่มชื่น และแก้กระหาย โดยมากรสหวานที่เรารับประทานจะได้จาก น้ำตาล น้ำผึ้ง ผักและผลไม้สุกบางชนิด เช่น กล้วย ลิ้นจี่ อ้อย มะละกอ มะม่วง เป็นต้น จากข้อมูลพบว่า ในแต่ละปีคนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยต่อปีถึงคนละ 25 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว เพราะเรานิยมกินหวานกันขนาดนี้ จึงทำให้โรคร้ายมากมายถามหา ...เรามาดูกันดีกว่าครับว่าอันตรายที่มากับรสหวานมีอะไรกันบ้าง
หวานมากไปทำให้อ้วน ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน หรืออาหารรสหวานจัดต่างๆ เมื่อกินเข้าไปมากๆอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปและทำให้อ้วน
อาหารหวานทำให้ความอยากอาหารลดลง การกินอาหารรสหวานมากเกินไปจะทำให้เรารู้สึกอิ่ม (สังเกตได้จากเวลากินน้ำหวาน หรือขนมหวาน เราจะไม่รู้สึกหิวข้าว) อีกทั้งยังทำให้รู้สึกขี้เกียจ ง่วงนอน มีเสมหะในลำคออีกด้วย ทั้งนี้น้ำตาลและความหวานยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไฮโดไกลซีเมียอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารรสหวานก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ร่างกายกินได้น้อยลง
เบาหวาน อาหารรสหวานนับว่าเป็นอันตรายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปมากๆจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขาดความสมดุล จึงทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากกว่าปกติเพื่อกำจัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ยิ่งคนเป็นเบาหวานกินหวานมากเท่าไรก็จะยิ่งให้ตับอ่อนทำงานหนัก และเป็นอันตรายมากเท่านั้น อีกทั้งความหวานยังทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และ ฟันผุ อีกด้วย
แม้ความหวานจะมีประโยชน์ แต่หากบริโภคเกินควรก็มีอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ปรุงอาหารครั้งต่อไปลดน้ำตาลลงบ้างดีกว่านะครับ
เมื่อพูดถึงที่มาของความหวาน น้ำตาลมักเป็นอันดับต้นๆที่เรานึกถึง ทั้งนี้น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานต่อร่างกายในทันทีที่กินเข้าไป ซึ่งส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยฮอร์โมนชื่ออินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีหน้าที่ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และมีฮอร์โมนชื่อกลูคากอน(Glucagons) คอยทำหน้าที่เพิ่มระดับกลูโคส ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ อาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้
นอกจากนั้นรสหวานช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาอาการปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายรู้สึกชุ่มชื่น และแก้กระหาย โดยมากรสหวานที่เรารับประทานจะได้จาก น้ำตาล น้ำผึ้ง ผักและผลไม้สุกบางชนิด เช่น กล้วย ลิ้นจี่ อ้อย มะละกอ มะม่วง เป็นต้น จากข้อมูลพบว่า ในแต่ละปีคนไทยกินน้ำตาลโดยเฉลี่ยต่อปีถึงคนละ 25 กิโลกรัมต่อปีเลยทีเดียว เพราะเรานิยมกินหวานกันขนาดนี้ จึงทำให้โรคร้ายมากมายถามหา ...เรามาดูกันดีกว่าครับว่าอันตรายที่มากับรสหวานมีอะไรกันบ้าง
หวานมากไปทำให้อ้วน ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน หรืออาหารรสหวานจัดต่างๆ เมื่อกินเข้าไปมากๆอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปและทำให้อ้วน
อาหารหวานทำให้ความอยากอาหารลดลง การกินอาหารรสหวานมากเกินไปจะทำให้เรารู้สึกอิ่ม (สังเกตได้จากเวลากินน้ำหวาน หรือขนมหวาน เราจะไม่รู้สึกหิวข้าว) อีกทั้งยังทำให้รู้สึกขี้เกียจ ง่วงนอน มีเสมหะในลำคออีกด้วย ทั้งนี้น้ำตาลและความหวานยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไฮโดไกลซีเมียอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารรสหวานก่อนกินอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้ร่างกายกินได้น้อยลง
เบาหวาน อาหารรสหวานนับว่าเป็นอันตรายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปมากๆจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขาดความสมดุล จึงทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากกว่าปกติเพื่อกำจัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ยิ่งคนเป็นเบาหวานกินหวานมากเท่าไรก็จะยิ่งให้ตับอ่อนทำงานหนัก และเป็นอันตรายมากเท่านั้น อีกทั้งความหวานยังทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคไต และ ฟันผุ อีกด้วย
แม้ความหวานจะมีประโยชน์ แต่หากบริโภคเกินควรก็มีอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ปรุงอาหารครั้งต่อไปลดน้ำตาลลงบ้างดีกว่านะครับ
อาหารรสเผ็ด
แหล่งที่มาของอาหารรสเผ็ดร้อนมักจะอยู่ในผักและสมุนไพรกลุ่มเครื่องเทศ เช่น กานพลู ยี่หร่า กระเทียม หัวหอม และที่ขาดไม่ได้คือ พริก ความเผ็ดของรสชาติอาหารช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้ใหญ่ให้เป็นไปตามปกติ ความเผ็ดร้อนช่วยให้เรารับประทานอาหารได้มากกว่าปกติ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายไปในตัว นอกจากนั้นอาหารรสเผ็ดยังช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้อาการจุก เสียด แน่น เฟ้อ ช่วยในการขับเสมหะ ทำให้จมูกโล่งเวลาเป็นหวัด ช่วยลดความดันและไขมันในโลหิตได้อีกด้วย กระนั้นอาหารรสเผ็ดหากบริโภคมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน โรคที่แฝงมากับการกินอาหารรสเผ็ดมีดังต่อไปนี้คือ
กรดในกระเพาะอาหาร การกินอาหารเผ็ดทำให้เกิดกรดในกระเพราะอาหาร คนกินเผ็ดจึงมักมีอาการท้องขึ้นและอึดอัด รู้สึกแสบและคันรูทวารหนัก และมีอาการอ่อนเพลียอยู่เสมอ
สิว คนที่เป็นสิวหรือมีอาการอักเสบของต่อมไขมัน ไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดโดยเด็ดขาด เพราะความเผ็ดจะทำให้ต่อมไขมันทั่วร่างกายทำงานหนักกว่าปกติ จึงทำให้เกิดสิวได้ง่าย
อาจทำให้อ้วน เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารรสเผ็ด ทำให้เรามีความอยากกินอาหารมากขึ้น ยิ่งกินเยอะก็จะยิ่งทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา ดังนั้นใครที่ไม่อยากอ้วนควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด
โรคไต นอกจากพริกแล้ว อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ กะปิ ผงชูรสซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณมาก การกินอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องแกงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต ความดันโลหิตสูง ไปด้วย
โรคหัวใจ อาหารที่มีรสเผ็ดมีฤทธิ์การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนัก คนชอบกินอาหารรสเผ็ดจึงเป็นการเพิ่มความเสียงต่อโรคหัวใจโดยไม่รู้ตัว
รู้โทษของอาหารรสเผ็ดกันแล้ว ลองสำรวจตัวเองกันหน่อยไหมครับว่า คุณใส่พริกลงไปในอาหารมากแค่ไหนในแต่ละมื้อ
แหล่งที่มาของอาหารรสเผ็ดร้อนมักจะอยู่ในผักและสมุนไพรกลุ่มเครื่องเทศ เช่น กานพลู ยี่หร่า กระเทียม หัวหอม และที่ขาดไม่ได้คือ พริก ความเผ็ดของรสชาติอาหารช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้ใหญ่ให้เป็นไปตามปกติ ความเผ็ดร้อนช่วยให้เรารับประทานอาหารได้มากกว่าปกติ และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายไปในตัว นอกจากนั้นอาหารรสเผ็ดยังช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้อาการจุก เสียด แน่น เฟ้อ ช่วยในการขับเสมหะ ทำให้จมูกโล่งเวลาเป็นหวัด ช่วยลดความดันและไขมันในโลหิตได้อีกด้วย กระนั้นอาหารรสเผ็ดหากบริโภคมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน โรคที่แฝงมากับการกินอาหารรสเผ็ดมีดังต่อไปนี้คือ
กรดในกระเพาะอาหาร การกินอาหารเผ็ดทำให้เกิดกรดในกระเพราะอาหาร คนกินเผ็ดจึงมักมีอาการท้องขึ้นและอึดอัด รู้สึกแสบและคันรูทวารหนัก และมีอาการอ่อนเพลียอยู่เสมอ
สิว คนที่เป็นสิวหรือมีอาการอักเสบของต่อมไขมัน ไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดโดยเด็ดขาด เพราะความเผ็ดจะทำให้ต่อมไขมันทั่วร่างกายทำงานหนักกว่าปกติ จึงทำให้เกิดสิวได้ง่าย
อาจทำให้อ้วน เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารรสเผ็ด ทำให้เรามีความอยากกินอาหารมากขึ้น ยิ่งกินเยอะก็จะยิ่งทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา ดังนั้นใครที่ไม่อยากอ้วนควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด
โรคไต นอกจากพริกแล้ว อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ กะปิ ผงชูรสซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณมาก การกินอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องแกงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต ความดันโลหิตสูง ไปด้วย
โรคหัวใจ อาหารที่มีรสเผ็ดมีฤทธิ์การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนัก คนชอบกินอาหารรสเผ็ดจึงเป็นการเพิ่มความเสียงต่อโรคหัวใจโดยไม่รู้ตัว
รู้โทษของอาหารรสเผ็ดกันแล้ว ลองสำรวจตัวเองกันหน่อยไหมครับว่า คุณใส่พริกลงไปในอาหารมากแค่ไหนในแต่ละมื้อ
: โทษของการนอนดึก
ข้อความ : > การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
> > การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload
>ไม่ช้าเครื่องก็พัง
> > วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)
> > ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน
> > ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
> > 1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
> > 2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
> >
> > ระบบการย่อยอาหาร
> > ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป
> > ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง
> > แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่
> > เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
> >
> > แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก
> > ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป
> > พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้
> > มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา
>(ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)
> > ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
> > 1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
> > 2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า
> > กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด
> > ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ
> > ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม)
> > จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว
> > ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้
>ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก
> > ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ
>สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง
> > เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง
>ให้ท้องเกิดกำลังจะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว
> > ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน
>ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย
> > จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย
>(เนื่องจากอายุมาก)
> > ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ
>ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ
> > บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา
> >
> > ระบบปัสสาวะ
> > ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ
> > แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย
>overload ต้องการน้ำมาก
> > กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก
>ผลก็คือปัสสาวะบ่อย
> > ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ
>35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
> > แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ
>ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก
> > คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด
>และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย)
> > ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
> >
> > สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก
>และเติมเกลือในน้ำด้วย
> > คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ
>ยังออกทางเหงื่อได้
> > แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน
> > พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย
>ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ
> > หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย
>อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ
> > ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย
>ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น
> > พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ
>จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
> > ระบบเหงื่อ
> > คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย
> > ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด
>ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้
> > โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย
>เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้
> > คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น
>มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก
> > ระบบหายใจ
> > ระบบหายใจจะเสียตามมา
>ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น
>
ข้อความ : > การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
> > การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload
>ไม่ช้าเครื่องก็พัง
> > วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว)
> > ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน
> > ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก
> > 1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
> > 2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
> >
> > ระบบการย่อยอาหาร
> > ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป
> > ถ้าไม่นอนดึกอุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง
> > แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่างๆ ติดอยู่
> > เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า
> >
> > แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก
> > ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป
> > พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้
> > มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา
>(ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)
> > ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
> > 1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
> > 2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า
> > กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด
> > ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ
> > ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม)
> > จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว
> > ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้
>ซึ่งมันเป็นของเสียที่ต้องขับออก
> > ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ
>สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง
> > เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง
>ให้ท้องเกิดกำลังจะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว
> > ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน
>ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย
> > จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย
>(เนื่องจากอายุมาก)
> > ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ
>ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ
> > บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา
> >
> > ระบบปัสสาวะ
> > ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ
> > แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย
>overload ต้องการน้ำมาก
> > กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก
>ผลก็คือปัสสาวะบ่อย
> > ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ
>35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
> > แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ
>ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก
> > คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด
>และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย)
> > ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
> >
> > สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก
>และเติมเกลือในน้ำด้วย
> > คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ
>ยังออกทางเหงื่อได้
> > แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน
> > พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย
>ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ
> > หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย
>อาการก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืดๆ
> > ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย
>ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น
> > พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ
>จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
> > ระบบเหงื่อ
> > คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย
> > ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด
>ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้
> > โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย
>เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้
> > คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น
>มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก
> > ระบบหายใจ
> > ระบบหายใจจะเสียตามมา
>ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น
>
แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)
การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก
การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด
เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"
กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง
แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน
เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ
แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง
ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน
กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์
ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ
ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก
การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด
เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"
กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง
แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน
เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ
แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง
ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน
กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์
ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ
ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
ประโยชน์ของกล้วย
เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...
ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ
เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า
นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น
นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่
นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า
นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ
ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น
ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"
ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"
ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"
ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก
ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค
ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น
ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย
ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง
กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล
เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น
ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก
ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ
เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...
ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ
เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า
นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น
นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่
นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า
นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ
ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น
ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"
ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"
ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"
ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก
ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค
ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น
ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย
ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง
กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล
เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น
ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก
ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ
ภัยนํ้าอัดลม
ซื้อน้ำอัดลมในสถานศึกษามากกว่า รร.ปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า กทม.จัดโครงการ “โรงเรียนอ่อนหวาน” รณรงค์ห้ามจำหน่ายในโรงเรียน
เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่โรงเรียนวิชูทิศ ดินแดง กท. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน "แต้มสีสันโรงเรียนอ่อนหวาน 7 วัน 7 สี ไม่มีน้ำอัดลม" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี โฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมในเด็กและเยาวชนกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุข
เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า น้ำอัดลมเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด อาทิ โรคอ้วน โรคผอม โรคฟันผุ และกระดูกกร่อน ล่าสุดรายงานจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่า เด็กที่มีอาการฟันผุ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีในสมองได้
"เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แพทย์ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ พบว่า อาการฝีในสมองของเด็กรายหนึ่ง เกิดจากปัญหาฟันซี่บนผุ ซึ่งเชื่อมต่อฐานของสมอง เมื่อฟันผุมากๆ เชื้อโรคก็แทรกซึมเข้าสู่สมองจนทำให้เกิดฝีในสมองได้ เมื่อย้อนกลับมามองสาเหตุของฟันผุ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งเป็นแหล่งของความหวานชั้นยอด" นพ.สุริยเดว กล่าว
นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า ปกติน้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลประมาณ 10-14 ช้อนชา ทุกกระป๋องจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 1-2 จากการศึกษาปัญหาเด็กอ้วนพบว่า ส่วนใหญ่ดื่มน้ำอัดลม 25 กระป๋องต่อสัปดาห์ ขณะที่ตามหลักโภชนาการแล้ว ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดภาวะพร่องแคลเซียม เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเป็นโรคกระดูกคดงอและโรคกระดูกพรุนได้ ส่วนกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการที่ออกมาโฆษณาว่า น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลหรือน้ำตาล 0 เปอร์เซ็นต์ ต้องระวังเป็นพิเศษ
เนื่องจากในระยะยาวจะทำให้เป็นโรคผอมเพราะขาดสารอาหารเพราะเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีสารอาหารใดๆ มีแต่แก๊ส ทำให้ท้องอืด ไม่อยากอาหาร คนอ้วนที่ต้องการลดความอ้วนจะหันมาดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้จะทำให้ลดความอ้วนได้
ขณะเดียวกันยังส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่เพราะน้ำอัดลมมีกรดคาร์บอนิกที่มีคุณสมบัติขับแคลเซียมออกจากร่างกาย โดยเฉพาะวัยรุ่น 9-14 ปี ที่ต้องการแคลเซียมเพื่อสร้างความเติบโตมากที่สุด หากดื่มน้ำอัดลมมากจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมจนหมดส่งผลให้ร่างกายสูงไม่เต็มที่และ "อ้วนเตี้ย"
"การดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก สุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค เพราะเด็กที่เข้ารักษาตัวเพราะน้ำหนักตัวเกิน จะหายใจไม่ออก นอนไม่ได้มากกว่าเด็กปกติ 2-3 เท่า ทำให้ต้องรักษาตัวนาน ดังนั้นโรงเรียนต่างๆจึงควรหันมาใส่ใจปัญหานี้และทำให้ร้านค้าภายในและรอบโรงเรียนปลอดการขายน้ำอัดลม แต่ควรหันมาดื่มน้ำเปล่า เพราะเป็นน้ำสะอาดและดีที่สุด หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้แต่ไม่ควรมีน้ำตาลเกินร้อยละ 5 ต่อ 100 ซีซี" นพ.สุริยเดว กล่าว
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ. สำนักงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจากโรคอ้วน 300 ล้านคน และอีกประมาณ 1,000 ล้านคน ที่กำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการไม่ออกกำลังกาย ขณะที่การบริโภคยังนิยมของแคลอรีสูง และของหวานต่างๆ ประเทศไทยก็เช่นกันจากการศึกษาพบว่า หากดื่มน้ำอัดลมติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัม
ด้าน ผศ.ทพญ.ปิยะนารถ จาติเกตุ นักวิชาการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ล่าสุดได้ทำการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มของนักเรียน จากกลุ่มตัวอย่าง 9,300 คน ในโรงเรียน 14 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นนักเรียน 8,400 คน ผู้ปกครอง 700 คน ครู 273 คน พบว่า นักเรียนในโรงเรียนที่ขายน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมบ่อยกว่านักเรียนที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะดื่มมากกว่าประถมศึกษา 3.9 เท่า และหญิงดื่มบ่อยกว่าชายถึง 1.4 เท่า ปัจจัยสำคัญของการดื่มน้ำอัดลม
ส่วนหนึ่งเกิดจากการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่ คือ สหกรณ์หรือร้านค้าโรงเรียนร้อยละ 44 ส่วนโรงเรียนที่มีน้ำอัดลมที่มีทั้งแม่ค้าและสหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียนพบถึงร้อยละ 47.2 นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่า โรงเรียนที่ปลอดและไม่ปลอด น้ำอัดลมได้รับเงินสนับสนุนจากผู้จำหน่ายเครื่องดื่มทั้งสิ้น โรงเรียนที่ไม่ปลอดน้ำอัดลมได้ถึงร้อยละ 81.3 ขณะที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้เพียงร้อยละ 59.3
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ได้จัดโครงการโรงเรียนอ่อนหวาน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเข้าใจโทษของการบริโภคของหวาน โดยกทม.เริ่มมีนโยบายห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียนในสังกัด 436 แห่งมา 3 ปี มีนักเรียน 340,000 คน เชื่อว่าจะทำให้เด็กๆ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากน้ำอัดลมได้
ซื้อน้ำอัดลมในสถานศึกษามากกว่า รร.ปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า กทม.จัดโครงการ “โรงเรียนอ่อนหวาน” รณรงค์ห้ามจำหน่ายในโรงเรียน
เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่โรงเรียนวิชูทิศ ดินแดง กท. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน "แต้มสีสันโรงเรียนอ่อนหวาน 7 วัน 7 สี ไม่มีน้ำอัดลม" โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี โฆษกเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า การดื่มน้ำอัดลมในเด็กและเยาวชนกำลังกลายเป็นปัญหาสาธารณสุข
เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า น้ำอัดลมเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด อาทิ โรคอ้วน โรคผอม โรคฟันผุ และกระดูกกร่อน ล่าสุดรายงานจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่า เด็กที่มีอาการฟันผุ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฝีในสมองได้
"เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แพทย์ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ พบว่า อาการฝีในสมองของเด็กรายหนึ่ง เกิดจากปัญหาฟันซี่บนผุ ซึ่งเชื่อมต่อฐานของสมอง เมื่อฟันผุมากๆ เชื้อโรคก็แทรกซึมเข้าสู่สมองจนทำให้เกิดฝีในสมองได้ เมื่อย้อนกลับมามองสาเหตุของฟันผุ เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ซึ่งเป็นแหล่งของความหวานชั้นยอด" นพ.สุริยเดว กล่าว
นพ.สุริยเดว กล่าวอีกว่า ปกติน้ำอัดลม 1 กระป๋องจะมีน้ำตาลประมาณ 10-14 ช้อนชา ทุกกระป๋องจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 1-2 จากการศึกษาปัญหาเด็กอ้วนพบว่า ส่วนใหญ่ดื่มน้ำอัดลม 25 กระป๋องต่อสัปดาห์ ขณะที่ตามหลักโภชนาการแล้ว ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดภาวะพร่องแคลเซียม เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเป็นโรคกระดูกคดงอและโรคกระดูกพรุนได้ ส่วนกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการที่ออกมาโฆษณาว่า น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลหรือน้ำตาล 0 เปอร์เซ็นต์ ต้องระวังเป็นพิเศษ
เนื่องจากในระยะยาวจะทำให้เป็นโรคผอมเพราะขาดสารอาหารเพราะเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีสารอาหารใดๆ มีแต่แก๊ส ทำให้ท้องอืด ไม่อยากอาหาร คนอ้วนที่ต้องการลดความอ้วนจะหันมาดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้จะทำให้ลดความอ้วนได้
ขณะเดียวกันยังส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่เพราะน้ำอัดลมมีกรดคาร์บอนิกที่มีคุณสมบัติขับแคลเซียมออกจากร่างกาย โดยเฉพาะวัยรุ่น 9-14 ปี ที่ต้องการแคลเซียมเพื่อสร้างความเติบโตมากที่สุด หากดื่มน้ำอัดลมมากจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมจนหมดส่งผลให้ร่างกายสูงไม่เต็มที่และ "อ้วนเตี้ย"
"การดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก สุ่มเสี่ยง ต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่สำคัญยังเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค เพราะเด็กที่เข้ารักษาตัวเพราะน้ำหนักตัวเกิน จะหายใจไม่ออก นอนไม่ได้มากกว่าเด็กปกติ 2-3 เท่า ทำให้ต้องรักษาตัวนาน ดังนั้นโรงเรียนต่างๆจึงควรหันมาใส่ใจปัญหานี้และทำให้ร้านค้าภายในและรอบโรงเรียนปลอดการขายน้ำอัดลม แต่ควรหันมาดื่มน้ำเปล่า เพราะเป็นน้ำสะอาดและดีที่สุด หากต้องการดื่มน้ำผลไม้ก็สามารถทำได้แต่ไม่ควรมีน้ำตาลเกินร้อยละ 5 ต่อ 100 ซีซี" นพ.สุริยเดว กล่าว
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ. สำนักงานสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยจากโรคอ้วน 300 ล้านคน และอีกประมาณ 1,000 ล้านคน ที่กำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการไม่ออกกำลังกาย ขณะที่การบริโภคยังนิยมของแคลอรีสูง และของหวานต่างๆ ประเทศไทยก็เช่นกันจากการศึกษาพบว่า หากดื่มน้ำอัดลมติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัม
ด้าน ผศ.ทพญ.ปิยะนารถ จาติเกตุ นักวิชาการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ล่าสุดได้ทำการสำรวจการบริโภคเครื่องดื่มของนักเรียน จากกลุ่มตัวอย่าง 9,300 คน ในโรงเรียน 14 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นนักเรียน 8,400 คน ผู้ปกครอง 700 คน ครู 273 คน พบว่า นักเรียนในโรงเรียนที่ขายน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมบ่อยกว่านักเรียนที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม 7-8 เท่า โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะดื่มมากกว่าประถมศึกษา 3.9 เท่า และหญิงดื่มบ่อยกว่าชายถึง 1.4 เท่า ปัจจัยสำคัญของการดื่มน้ำอัดลม
ส่วนหนึ่งเกิดจากการขายน้ำอัดลมในโรงเรียน ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่ คือ สหกรณ์หรือร้านค้าโรงเรียนร้อยละ 44 ส่วนโรงเรียนที่มีน้ำอัดลมที่มีทั้งแม่ค้าและสหกรณ์หรือร้านค้าของโรงเรียนพบถึงร้อยละ 47.2 นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่า โรงเรียนที่ปลอดและไม่ปลอด น้ำอัดลมได้รับเงินสนับสนุนจากผู้จำหน่ายเครื่องดื่มทั้งสิ้น โรงเรียนที่ไม่ปลอดน้ำอัดลมได้ถึงร้อยละ 81.3 ขณะที่โรงเรียนปลอดน้ำอัดลมได้เพียงร้อยละ 59.3
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ได้จัดโครงการโรงเรียนอ่อนหวาน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้เลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเข้าใจโทษของการบริโภคของหวาน โดยกทม.เริ่มมีนโยบายห้ามขายน้ำอัดลมในโรงเรียนในสังกัด 436 แห่งมา 3 ปี มีนักเรียน 340,000 คน เชื่อว่าจะทำให้เด็กๆ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากน้ำอัดลมได้
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553
ประโยชน์จากไปษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
1. สามารถใช้ได้กับ บล็อก hi5 หรือ อีเมล์ต่าง ๆ ที่เราทำงานอยู่ก็ได้
และทำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็ได้โดยการใช้เป็นงานที่ครุให้ทำส่ง
2. สามารถสรหหตกแต่งเว็บไซต์ให้สวยงาม ด้วยการใช้ภาพและลูกเล่นของเอฟเฟค
3. สามารถรับข่าวและข้อมูลต่างๆได้
และทำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็ได้โดยการใช้เป็นงานที่ครุให้ทำส่ง
2. สามารถสรหหตกแต่งเว็บไซต์ให้สวยงาม ด้วยการใช้ภาพและลูกเล่นของเอฟเฟค
3. สามารถรับข่าวและข้อมูลต่างๆได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)